เมื่อวันที่ 28 พ.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติจีน (CDC) เผยแพร่ผลการศึกษาผ่านวารสารซีดีซีรายสัปดาห์ประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศจีน หากรัฐบาลตัดสินใจที่จะอยู่ร่วมกับไวรัสเหมือนกับประเทศอื่นๆ และยกเลิกมาตรการ “ความอดทนเป็นศูนย์” ตัดห่วงโซ่การแพร่ระบาดที่ใช้กันมาตลอด

ทั้งนี้ ข้อมูลผลการศึกษาของซีดีซีร่วมกับมหาวิทยาลัยปักกิ่งได้ใช้ข้อมูลจากประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ สเปน ฝรั่งเศส และอิสราเอลนำมาคำนวณผลลัพธ์ว่า หากรัฐบาลจีนดำเนินรอยตามใช้นโยบายของประเทศเหล่านี้กับประเทศจีนแล้วจะมีผลออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งปรากฏว่าหากรัฐบาลจีนใช้มาตรการเดียวกับสหรัฐฯแล้ว จะส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงถึง 637,155 คนต่อวัน หากใช้มาตรการเดียวกับฝรั่งเศส จะส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อสูงถึง 454,198 คนต่อวัน และหากใช้มาตรการเดียวกับอังกฤษจะส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อสูงถึง 275,793 คนต่อวัน

นักวิจัยระบุว่า ตัวเลขประมาณการเหล่านี้มาจากการใช้สูตรคำนวณทางคณิตศาสตร์เท่านั้น แต่ก็เป็นเครื่องเตือนใจได้ว่า ตอนนี้ประเทศจีนยังไม่มีความพร้อมที่จะใช้นโยบาย “เปิดเมือง” เหมือนกับประเทศโลกตะวันตก ซึ่งตัดสินใจจากความเชื่อในสมมติฐาน การฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมากจะส่งผลให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) และหากจีนจะเปิดเมืองได้ ก็ต้องมีกระบวนการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพยิ่งกว่านี้ รวมถึงมีหนทางในการรักษาโรคแบบเฉพาะทาง

สำหรับสถานการณ์การติดเชื้อในประเทศจีนนั้น สำนักข่าวต่างประเทศรายงานด้วยว่าจีนพบผู้ติดเชื้อในวันเดียว 23 คน ในวันที่ 27 พ.ย.ขณะที่อัตราการติดเชื้อเฉลี่ยในรอบ 7 วัน อยู่ที่วันละ 27คน ส่วนกระบวนการฉีดวัคซีนครบโดสให้ประชากรทำไปแล้ว 76.8 เปอร์เซ็นต์ พร้อมเชื่อว่าจะทำได้ถึงเป้า 80 เปอร์เซ็นต์ภายในสิ้นปี

...

วันเดียวกัน สื่อท้องถิ่นจีนรายงานว่า นายจง หนานชาน ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคทางเดินหายใจของจีน ได้ออกเตือนภัยกรณีไวรัสกลายพันธุ์ตัวใหม่ “โอมิครอน” ว่าการที่ไวรัสถูกตรวจพบว่ามีการกลายพันธุ์อย่างมาก ย่อมส่งผลให้การควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดทำได้ยากขึ้น พร้อมย้ำว่านานาชาติต้องเร่งกระบวนการฉีดวัคซีน

นอกจากนี้ ในโลกออนไลน์ยังเกิดกระแสตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมชื่อกรีกของไวรัสกลายพันธุ์ตัวใหม่ จึงมีการข้ามลำดับตัวอักษรนู (Nu) และซาย(Xi)ซึ่งกรณีนี้องค์การอนามัยโลกได้ชี้แจงว่า นูคล้ายกับนิวที่แปลว่าใหม่ จึงไม่อยากให้สับสน ขณะที่ซาย Xi มีคนใช้ชื่อนี้กันเป็นจำนวนมาก จึงไม่อยากให้มีผลกระทบ.