ผลพวงจากการแพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก นับจนถึงวันนี้ มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ไปแล้วกว่า 5 ล้านราย ในจำนวนนั้นมีทั้ง คนดัง ผู้นำ ดารานักแสดง ที่ต้องเสียชีวิตลงจากการติดเชื้อโควิด-19 อย่างน่าเสียดาย สิ่งที่ตามมาพร้อมกับความสูญเสียของมวลมนุษยชาติก็คือ วิถีชีวิต ของคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ต่อไปแบร์กาโม เมืองที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งบนโลกใบนี้ ตั้งอยู่ที่ ประเทศอิตาลี ได้มีการสร้าง สวนป่าเชิงสัญลักษณ์ เพื่ออุทิศแด่ผู้เสียชีวิตจาก มหาวิบัติภัยโควิด เป็นการเตือนความทรงจำของชาวโลก ถึงหายนะครั้งยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ
โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือ UNDP เผยแพร่งานวิจัยล่าสุดพบว่า ทั่วโลกกำลังทุ่มเทงบประมาณถึง 4.23 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี เพื่ออุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลในการบริโภค เช่น น้ำมัน เชื้อเพลิงฟอสซิล ก๊าซ และถ่านหินต่างๆ คิดเป็น 4 เท่าของจำนวนเงินที่ควรนำไปช่วยเหลือประเทศที่ยากจน เพื่อจัดการกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศ ที่เป็นประเด็น ในการประชุมสุดยอดด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติครั้งที่ 26 ที่กำลังเปิดฉากอย่างเป็นทางการที่ เมืองกลาสโกว์ สกอตแลนด์
มีการเปรียบเทียบจำนวนเงินอุดหนุนเชื้อเพลิงที่กล่าวมาแล้ว สามารถที่จะนำไปใช้ในการจ่ายค่าวัคซีนโควิด-19 ให้กับทุกคนในโลกใบนี้ ไม่ต้องรอวัคซีนกันแบบอนาถา คิดเป็นเงินถึง 3 เท่าที่ควรนำไปใช้เพื่อ ขจัดความยากจนขั้นรุนแรงทั่วโลก ตัวเลขดังกล่าวยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีมูลค่าเกือบ 6 ล้านล้านดอลลาร์ตามการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
ที่มาของเงินเหล่านี้ก็ คือการเสียภาษีของประชาชน มองว่า เงินภาษีถูกนำมาใช้อย่างไม่เท่าเทียมและเป็นการขัดขวางในการดำเนินการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย
...
วิกฤติโควิด-19 ได้สอนให้มนุษย์ได้เรียนรู้ว่าความล้าหลังของเศรษฐกิจโลกที่เกิดจากการใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่ออุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิล ในขณะที่ผู้คนบนโลกใบนี้หลายร้อยล้านคนยังอยู่ในสภาพอนาถา แรงกดดันเหล่านี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการของมวลมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมในอีกรูปแบบ โลกจะต้องหันมาพึ่งพาธรรมชาติมากขึ้นและจะต้องหาทางที่จะรักษาธรรมชาติให้ยั่งยืนได้นานเท่านาน พฤติกรรมของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปในทางอนุรักษ์และเรียนรู้อยู่กับธรรมชาติมากกว่าจะใช้เงินในการทำลายคุณภาพชีวิตของมนุษย์ด้วยกัน
เมื่อไม่นานมานี้ Facebook ได้มีการจัดทำรายงานภายในบริษัท และมีการนำมาเผยแพร่โดยอดีตพนักงาน ผลการวิจัยพบว่า วัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น ใช้ Facebook น้อยลงเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง วัยรุ่นอเมริกา ใช้เวลาในการเล่นเฟซบุ๊กน้อยลงร้อยละ 16 และวัยรุ่นที่สมัครเข้ามาใช้เฟซบุ๊ก จากเดิมเริ่มจากอายุ 19-20 ปี แต่ในปัจจุบันขยับเป็น 24-25 ปี ช้ากว่าในอดีต และในจำนวนที่สมัครใช้งานเข้าใหม่ก็มีบัญชีของ Facebook อยู่แล้วถึงร้อยละ 15
คนที่ใช้เวลาในการเล่นเฟซบุ๊กมากที่สุด กลับเป็นคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป สาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กน้อยลง เนื่องจากคนเหล่านี้หันไปใช้ Social Media อื่นๆแทนโดยเฉพาะ Tiktok ได้รับความนิยมจากวัยรุ่นมากขึ้น มีผู้ใช้งานต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 3 พันล้านราย
สิ่งนี้ทำให้ผู้บริหารเฟซบุ๊กต้องรีบประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta และปรับธุรกิจให้เป็นมากกว่า Social Media โดยทุ่มเงินถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในอีก 10 ปีข้างหน้า เปลี่ยน เพื่อที่จะเดินไปข้างหน้า.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th