- ฟิลิปปินส์เริ่มต้นฤดูกาลเลือกตั้ง เปิดให้มีการลงสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดี ก่อนที่จะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดในเดือนพฤษภาคมปีหน้า เพื่อสรรหาคนที่จะมาดำรงตำแหน่งแทนประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตร์เต ที่จะพ้นวาระ หลังบริหารประเทศมานาน 6 ปี
- ประธานาธิบดีดูเตร์เตประกาศวางมือทางการเมือง หลังจากที่มีการคาดการณ์ว่าเขาอาจจะลงสมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากเขาไม่สามารถลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีได้เป็นสมัย 2 ตามรัฐธรรมนูญฟิลิปปินส์กำหนดให้ประธานาธิบดีอยู่ในตำแหน่งได้เพียงสมัยเดียว ด้วยวาระ 6 ปี
- ผลการหยั่งเสียงชาวฟิลิปปินส์ล่าสุดชี้ว่า ดูเตร์เต-คาร์ปิโอ บุตรสาวของประธานาธิบดีดูเตร์เต มีคะแนนนำมา แม้ว่าเธอจะไม่ได้ประกาศลงสมัคร ตามมาด้วยรองประธานาธิบดีเลนี โรเบรโด ผู้สมัครคนล่าสุด ที่เพิ่งออกมาประกาศตัวอย่างเป็นทางการว่าจะลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี
ชาวฟิลิปปินส์ 63 ล้านคนจะได้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกประธานาธิบดีในวันที่ 9 พ.ค. ปีหน้า เพื่อสรรหาผู้นำคนใหม่มาแทนประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตร์เต ที่กำลังจะหมดวาระลง แม้จะเหลือเวลาอีกหลายเดือน แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรยากาศการเมืองในฟิลิปปินส์ส่อเค้าดุเดือดอย่างมาก
หลังผ่านเส้นตายลงทะเบียนรับสมัครไปเมื่อวันที่ 8 ต.ค. ปรากฏว่ามีผู้สมัครลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างน้อย 50 คน รวมไปถึง นายเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ หรือ "บองบอง" บุตรชายอดีตผู้นำเผด็จการเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส "แมนนี ปาเกียว" อดีตนักชกขวัญใจประชาชน "เลนี โรเบรโด" รองประธานาธิบดีคนปัจจุบันของฟิลิปปินส์ "อิสโก โมเรโน" นายกเทศมนตรีกรุงมะนิลา และ "แพนฟิโล แลคสัน" อดีตผู้บัญชาการตำรวจ
...
ขณะที่กว่าครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เป็นกลุ่มคนอายุต่ำกว่า 40 ปี ซึ่งประเด็นที่คนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญคือ ยุติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผ่านงบประมาณเยียวยาโควิดอย่างเร่งด่วน และเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการแก้ปัญหาขัดแย้งที่มีมายาวนานกับจีนแผ่นดินใหญ่
จับตาลูกสาวดูเตร์เตกลับลำ
สำหรับ นางซารา ดูเตร์เต-คาร์ปิโอ บุตรสาวของประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตร์เต ประกาศชัดว่าเธอจะไม่ลงสมัคร แต่จะลงชิงเก้าอี้นายกเทศมนตรีเมืองดาเวา เป็นสมัยที่ 3 และเป็นสมัยสุดท้าย เป็นการดับฝันของกลุ่มผู้สนับสนุนที่ออกมาเชียร์ให้เธอลงสมัคร ขณะที่ผู้สมัครจะสามารถถอนตัวได้จนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน
นับเป็นที่น่าเสียดาย เพราะก่อนหน้านี้ผลการสำรวจความคิดเห็นของชาวฟิลิปปินส์ 7 เดือนก่อนถึงวันเลือกตั้ง จัดทำโดยสำนักโพล Pulse Asia พบว่า นางซารา ดูเตร์เต-คาร์ปิโอ จะมีคะแนนนำ หากว่าเธอประกาศลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายกำลังจับตาว่า เธออาจใช้ช่องโหว่ของกติกาแบบที่บิดาของเธอเคยทำ ด้วยการลงสมัครแทนคนอื่นในนาทีสุดท้าย และหลายคนเชื่อว่าเธอน่าจะทำแน่ เพราะกำลังถูกกดดันให้ต้องรักษาอำนาจไว้เพื่อปกป้องบิดาด้วยเอกสิทธิ์ทางการเมืองในอนาคต เนื่องจากศาลอาญาระหว่างประเทศกำลังไต่สวนกรณีการสังหารหมู่ภายใต้นโยบายปราบปรามยาเสพติดของประธานาธิบดีดูเตร์เต
ทายาทตระกูลมาร์กอส
การเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์รอบนี้ส่อแววคึกคักขึ้นมาทันที เมื่อ นายเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ หรือ "บองบอง" บุตรชายอดีตผู้นำเผด็จการเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ประกาศว่าจะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี หลายฝ่ายต่างจับตาว่าทายาทเผด็จการ ความพยายามหวนคืนสู่อำนาจของตระกูลมาร์กอสจะสำเร็จในครั้งนี้หรือไม่
บองบอง วัย 64 ปี เป็นอดีตสมาชิกวุฒิสภา เคยลงสมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี เมื่อปี 2559 แต่ประสบความพ่ายแพ้จนนำไปสู่การต่อสู้คดีในศาล บุคคลที่เขาต้องปราชัยให้ในครั้งนั้นก็คือ นางเลนี โรเบรโด รองประธานาธิบดีคนปัจจุบันของฟิลิปปินส์ ที่เพิ่งประกาศลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยเช่นกัน
...
ชาวฟิลิปปินส์จำนวนมากยังคงไม่ลืมความโหดร้ายของกฎอัยการศึก 9 ปี ของอดีตประธานาธิบดีมาร์กอส ที่ประกาศใช้กวาดล้าง จับกุมฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ในช่วงทศวรรษ 70 หลังจากระบอบมาร์กอสถูกโค่นล้มลง หลังตระกูลมาร์กอสที่ลี้ภัยไปอยู่ในฮาวายได้กลับมาฟิลิปปินส์เมื่อปี 2534 บองบองได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการ สมาชิกสภาคองเกรสและสมาชิกวุฒิสภา หลายทศวรรษที่ผ่านมาสมาชิกตระกูลมาร์กอสได้พยายามกอบกู้ภาพลักษณ์ พยายามกลับเข้าสู่เส้นทางการเมืองของฟิลิปปินส์ ท่ามกลางข้อกล่าวหาละเมิดสิทธิมนุษยชน และทุจริตเงินหลายพันล้านดอลลาร์อันเป็นสาเหตุให้ประชาชนโกรธแค้นพากันลุกฮือขึ้นมาโค่นล้ม
"แพนฟิโล แลคสัน" อดีตผู้บัญชาการตำรวจ
แพนฟิโล แลคสัน หรือ "ปิง" วัย 73 ปี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก เคยลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้วเมื่อปี 2547 เขาเป็นที่รู้จักในฐานะอดีตผู้บัญชาการตำรวจ ผู้ประกาศว่าจะเข้าสู่ทำเนียบมาลากันยังด้วยนโยบายการปราบคอร์รัปชัน อาชญากรรมและปราบปรามยาเสพติด
ขณะที่หลายฝ่ายกังวลว่า นโยบายปราบปรามยาเสพติดของปิง ดูแล้วคล้ายกับนโยบายของดูเตร์เตเมื่อปี 2559 แต่เขาบอกว่ามันจะมีความต่างออกไปอย่างแน่นอน ซึ่งก็ต้องคอยติดตามกันต่อไปว่า ชาวฟิลิปปินส์ที่เหนื่อยหน่ายเหลือเกินกับปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนในรัฐบาลดูเตร์เต จะสนใจเรื่องการปราบปรามยาเสพติดอีกหรือไม่
...
"อิสโก โมเรโน" คนสู้ชีวิต
นายฟรานซิสโก โดมากาโซ หรือ "อิสโก โมเรโน" นายกเทศมนตรีกรุงมะนิลา วัย 46 ปี ผู้ประกาศตัวมาเป็น ประธานาธิบดีผู้เยียวยาทุกสิ่ง จากเด็กสลัม เก็บขยะและเศษอาหารมากินประทังชีวิต สู่เส้นทางบันเทิงเป็นพระเอกหนัง และกลายเป็นนักการเมืองเต็มตัว เขาบอกว่าหากได้เข้ามาเป็นประธานาธิบดี เขาจะคงไว้ซึ่งนโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานของดูเตร์เต และจะเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดโดยไม่ให้มีใครเสียเลือดเนื้อ
...
"แมนนี ปาเกียว" ลงสังเวียนการเมืองเต็มตัว
เราทราบกันดีแล้วว่า ปาเกียว วัย 42 ปี มีอาชีพคู่ขนานเป็นนักการเมือง ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาฟิลิปปินส์ สังกัดพรรคพลังประชาธิปไตยประชาชนฟิลิปปินส์ หรือ PDP-Laban ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลในปัจจุบัน แต่ล่าสุดเขาได้ประกาศแขวนนวมและลงสู่สังเวียนการเมืองเต็มตัว
ปาเกียว ประกาศนโยบายขุดรากถอนโคนปัญหาคอร์รัปชัน และแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน ขณะที่แผนกลยุทธ์ดึงกลุ่มฐานเสียงที่เคยเชียร์มวย มากาคะแนนให้เขา ก็อาจจะยังได้ผลเหมือนที่เขาเคยใช้มาแล้วตอนสมัยลงสมัครสมาชิกสภาคองเกรสและสมาชิกวุฒิสภา
อย่างไรก็ตาม ปาเกียว ลงทะเบียนภายใต้พรรค PROMDI พรรคการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดเซบู ทั้งที่ยังดำรงตำแหน่งประธานพรรค PDP-Laban ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งจะพิจารณาเรื่องนี้ในสัปดาห์หน้าว่าจะสามารถทำได้หรือไม่
"เลนี โรเบรโด" รองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์
ที่ฮือฮาไม่น้อยคือข่าวการประกาศลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของ นางเลนี โรเบรโด วัย 56 ปี รองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนปัจจุบัน เธอเป็นทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและเป็นผู้นำฝ่ายค้านที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีดูเตร์เต โดยเฉพาะการทำสงครามปราบปรามยาเสพติด
การลงสมัครของโรเบรโดเป็นที่คาดหมายของหลายฝ่าย ซึ่งมองว่า แม้เธอจะมีความเห็นด้านนโยบายบางเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตร์เต โดยเฉพาะประเด็นสงครามยาเสพติด อย่างไรก็ตาม หากได้รับการเลือกตั้ง โรเบรโดน่าจะสานต่อนโยบายของผู้นำฟิลิปปินส์ได้ดี ในด้านการบริหารจัดการวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
สำหรับหนึ่งในคู่แข่งคนสำคัญสำหรับโรเบรโด น่าจะเป็น นายเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ โดยทั้งสองคนเคยขับเคี่ยวกันเพื่อชิงชัยตำแหน่งรองประธานาธิบดี ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2559 และโรเบรโดเฉือนชนะ มาร์กอส จูเนียร์ ไปด้วยคะแนน 35.11% ต่อ 34.47%.
ผู้เขียน : เพ็ญโสภา สุคนธรักษ์