คณะกรรมการบริหารหนังสือพิมพ์แอปเปิล เดลี ที่ให้การสนับสนุนประชาธิปไตยใน ฮ่องกงกำลังอยู่ในภาวะระส่ำหนัก ต้องเร่งการประชุมเครียดท่ามกลางวิกฤติ ที่มีการคาดการณ์ว่าอาจต้องปิดตัวลงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลังจากการจับกุมบรรณาธิการอาวุโสและผู้บริหาร รวมทั้งการอายัดทรัพย์สินและบัญชีของบริษัทที่ถูกระงับ

ในการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จากสหรัฐ อเมริกากับสื่อต่างประเทศ นายมาร์ก ไซมอน ที่ปรึกษาใกล้ชิดของจิมมี่ ไล เจ้าของหนังสือพิมพ์ที่ขณะนี้ถูกจำคุก ได้ระบุว่าคณะกรรมการของเน็กซ์ ดิจิตัลเจ้าของผู้จัดพิมพ์หนังสือพิมพ์แอปเปิล เดลี ได้หารืออย่างเร่งด่วนเพื่อประเมินอนาคตของหนังสือพิมพ์ และแนวทางการทำงานในภายหน้า โดยคาดว่าจะสามารถยื้อได้ถึงเพียงสิ้นเดือนนี้เท่านั้น เนื่องจากบัญชีธนาคารของบริษัทถูกระงับ ทำให้เหลือเงินสดในการดำเนินงาน 2-3 สัปดาห์ รวมทั้งยังไม่สามารถจ่ายเงินให้พนักงานและคู่ค้าหรือแม้แต่รับเงินเข้าเช่นกัน

เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 500 นาย ยกกำลังบุกเข้าไปตรวจค้นและจับกุมผู้บริหารของแอปเปิลเดลี 5 คน ภายใต้ กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ ในช่วงเช้าวันที่ 17 มิ.ย. ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงนายไรอัน หลอ บรรณาธิการบริหาร วัย 47 ปี และ นายเฉิง คิม-ฮุง หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ บริหารบริษัท เน็กซ์ ดิจิตัล เจ้าของ นสพ.แอปเปิล เดลี วัย 59 ปี ก่อนเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปในห้องข่าว พร้อมด้วยหมายจับที่อนุญาตให้ยึดสิ่งของต่างๆ หลายรายการ รวมถึงคอมพิวเตอร์ของนักข่าว 40 เครื่อง นอกจากนี้ยังอายัดทรัพย์สินมูลค่า 18 ล้านเหรียญฮ่องกง (หรือประมาณ 73 ล้านบาท) ของบริษัทในเครืออีก 3 แห่ง

แม้จะได้รับคำประณามจากชาติตะวันตก กลุ่มสิทธิมนุษยชน และโฆษกสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนก็ตาม แต่ตำรวจยืนยันว่ามีหลักฐานชี้ว่าบท ความเกิน 30 รายการของแอปเปิล เดลี มีส่วนในการสมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติให้คว่ำบาตรต่อจีนและฮ่องกง ขณะที่ต่อมานายหลอ และนายเฉิง ถูกศาลปฏิเสธการให้ประกันตัว หลังถูกตั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติเพื่อบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ ส่วนผู้บริหารอีก 3 คนได้รับการประกันตัว ด้านนายไซมอนก็เป็นที่ต้องการตัวของตำรวจในข้อหาความมั่นคงของชาติเช่นกัน แต่ได้ย้ายไปอยู่ที่สหรัฐฯตั้งแต่ปีก่อน

...

ปฏิบัติการของตำรวจนับเป็นการยกระดับการปราบปรามสื่อของฮ่องกง แอปเปิล เดลียังระบุว่าการใช้หมายจับเพื่อยึดคอมพิวเตอร์ของนักข่าวทำให้ไม่อาจปกป้องข้อมูลลับได้ และยังเปิดเผยตัวตนของผู้แจ้งเบาะแสและการกระทำดังกล่าวจะยิ่งส่งให้ความกดดันทางการเมืองและทางกฎหมายทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ.