เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวที่น่าสนใจที่นักเศรษฐกิจทั่วโลกให้ความสนใจอยู่ข่าวหนึ่ง และมีการพูดถึงอย่างกว้างขวาง ข่าวการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 14 ของ สาธารณรัฐประชาชนจีนนั่นแหละครับ ผมคิดว่าท่านที่ติดตามข่าวต่างประเทศเป็นประจำคงจะได้ยินข่าวมาบ้างแล้ว

แผนฯ 14 ของจีนจะเริ่มใช้ตั้งแต่ปีนี้คือ ค.ศ.2021 ไปจนถึงปี ค.ศ.2025 รวมระยะเวลา 5 ปี เช่นเดียวกับทุกๆแผนพัฒนาฯฉบับที่ผ่านๆมา

จีนเริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 1 เมื่อ ค.ศ.1953 หรือ พ.ศ.2496 ซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อ ค.ศ.1957 หรือ พ.ศ.2500...จากนั้นก็เดินหน้าจัดทำแผนพัฒนาฯอย่างต่อเนื่องมาจนแผนฯฉบับที่ 14...รวมแล้วใช้ไป 13 แผน สำหรับช่วงเวลา 65 ปีเต็มๆ

ต้องยอมรับว่าเป็น 65 ปี แห่งความหลังที่นำมาสู่ความสำเร็จอย่างแท้จริง เพราะ ณ วันเริ่มต้นใช้แผนพัฒนาฯนั้น จีนนับเป็นประเทศที่ยากจนข้นแค้นมากๆประเทศหนึ่งของโลก แต่เมื่อมาถึงวันนี้จีนได้กลายเป็น “อาเสี่ย” น้อยๆไปเสียแล้ว

มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 10,410 เหรียญสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 66 ของโลก ซึ่งได้รับการจัดเกรดจากธนาคารโลกให้เป็นประเทศรายได้ปานกลางขั้นสูงในระดับต้นๆที่พร้อมจะทะยานก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ

และถ้าวัดรายได้เต็มๆของประเทศที่เรียกว่าจีดีพี โดยยังไม่เอาไปหารเฉลี่ยต่อหัวละก็สาธารณรัฐประชาชนจีนก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของโลก แพ้สหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวเท่านั้นเอง

โดยสหรัฐฯมีจีดีพีอยู่ที่ 20,807,269 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และจีนอยู่ที่ 14,860,775 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามมาด้วยอันดับ 3 ญี่ปุ่นที่ 4,910,580 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 4.เยอรมนี 3,780.553 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 5.สหราชอาณาจักร 2,638,296 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

...

ที่สำคัญเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี่เอง ศูนย์วิจัยด้านธุรกิจและเศรษฐกิจระดับโลกที่ตั้งอยู่ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้ออกมาพยากรณ์ว่า หากใช้อัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจปัจจุบันโดยคำนึงถึงผลกระทบของโควิด-19 และการฟื้นตัวหลังจากนั้นมาคิดด้วย

จีนจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก แซงหน้าสหรัฐฯในปี 2028 หรืออีก 7 ปีข้างหน้า

ในแผนพัฒนาฯฉบับที่ 14 ของจีนที่เพิ่งประกาศใช้ไม่ได้พูดถึงการจะเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกไว้ในเป้าหมาย...แต่ได้เน้นว่าจีนจะพยายามก้าวข้าม “กับดักรายได้ปานกลาง” ไปสู่การเป็นประเทศ “รายได้สูงขั้นต้น” คือมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อคนต่อปีไม่ตํ่ากว่า 30,000 เหรียญในปี 2035 หรือประมาณ 15 ปีจากนี้ไป

อันจะทำให้จีนได้ชื่อว่าเป็นประเทศพัฒนาแล้วโดยสมบูรณ์

ถ้าจะถามผมว่าจีนมีโอกาสที่จะก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางไปสู่การเป็นประเทศรายได้สูงขั้นต้นอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้...ได้หรือไม่?

ผมค่อนข้างเชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้ หากมองย้อนกลับไปถึงความสำเร็จของการใช้ “แผน” เป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศที่ผ่านมา

จากยุคต้นๆที่เป็นแผนในแบบสังคมนิยมเต็มตัว และต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตอย่างมาก...จีนค่อยๆปรับตัวมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็หันมาใช้นโยบาย “1 ประเทศ 2 ระบบ” อย่างที่เราทราบ

เป็นผลให้ประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดดมาจนถึงทุกวันนี้

เหตุที่ผมเชื่อว่าจีนจะทำได้ดีต่อไปอีกก็เพราะโดย “ข้อเท็จจริง” นั้น ประเทศ “เผด็จการ” จะสามารถพัฒนาประเทศโดยใช้ “แผน” เป็นเครื่องมือได้ดีกว่าประเทศประชาธิปไตย

เพราะในระบอบเผด็จการสามารถสั่งการได้ ตัดสินใจรวดเร็วได้...เขียนอะไรไว้...มักจะทำได้ตามนั้นมากกว่าประเทศประชาธิปไตย ซึ่งมักจะมีประเด็นที่ถกเถียงหรือยุ่งยากอีกมากเมื่อจะลงมือปฏิบัติการ

สำหรับประเทศจีนอย่างไรเสียก็ยังเป็นประเทศ 2 ระบบอยู่ โดยเฉพาะระบบการเมืองการปกครองที่ยังเป็นสังคมนิยมภายใต้การกำกับของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นเผด็จการแบบเข้มข้นอยู่แล้ว

การปฏิบัติตามแผนจึงไม่น่าจะมีปัญหามากนักและจึงเป็นไปได้อย่างมากที่จีนจะแซงอเมริกาในที่สุดอย่างที่มีการคาดการณ์เอาไว้

เว้นแต่จะรบกันเสียก่อน...เพราะขณะนี้ดูเหมือนว่าอเมริกากับจีนกำลังกลับเข้าสู่ “สงครามเย็น” กันอีกแล้ว...อย่าให้กลายเป็น “สงครามร้อน” เชียวนะครับ...ประเทศอื่นๆจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย.

“ซูม”