จีนสั่งแบนสถานีข่าว BBC World News ของอังกฤษออกอากาศในจีน ตอบโต้ช่อง CGTN ถูกห้ามออกอากาศในอังกฤษ ขณะที่บีบีซี ออกแถลงการณ์รู้สึกผิดหวังที่ทางการจีนตัดสินใจเช่นนี้

สำนักงานกำกับดูแลกิจการวิทยุและโทรทัศน์ของจีนได้ออกแถลงการณ์คำสั่งห้ามสถานีข่าวช่อง BBC World News (บีบีซี เวิลด์ นิวส์) ออกอากาศในประเทศจีนเมื่อ 12 ก.พ.64 หลังจากรัฐบาลจีนขู่จะตอบโต้ กรณีสถานีข่าว CGTN ของทางการจีนได้ถูกสำนักงานกำกับดูแลกิจการสื่อในอังกฤษ (Ofcom) สั่งเพิกถอนใบอนุญาตในอังกฤษเมื่อต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา

สำนักงานกำกับดูแลกิจการวิทยุและโทรทัศน์ของจีนชี้แจงถึงคำสั่งห้ามสถานีข่าวช่อง BBC World News ออกอากาศในจีนว่า เนื่องจากละเมิดกฎที่สถานีข่าวต้องรายงานข่าวที่มีข้อเท็จจริง มีความเป็นกลาง รวมทั้ง ไม่แทรกแซงผลประโยชน์ของจีน และความเป็นปึกแผ่นทางชาติพันธุ์ในประเทศจีน

สำนักงานใหญ่ของบีบีซี ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
สำนักงานใหญ่ของบีบีซี ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

...

ก่อนหน้านี้ ทางการจีนได้วิพากษ์วิจารณ์บีบีซี เวิลด์ นิวส์ ที่รายงานข่าวเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่ 2019 หรือโควิด-19 และการข่มเหงชนกลุ่มน้อย ชาวอุยกูร์ ในมณฑลซินเจียง

ต่อมา บรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงอังกฤษ หรือ บีบีซี ได้ออกแถลงการณ์ว่า พวกเรารู้สึกผิดหวังที่เจ้าหน้าที่ทางการจีนตัดสินใจเช่นนี้ เพราะ บีบีซี เป็นสถานีข่าวที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดในโลก และมีการรายงานข่าวที่เกิดขึ้นทั่วโลกอย่างเที่ยงธรรม เป็นกลาง ปราศจากความกลัว หรือเอนเอียงด้วยความชื่นชม

สำนักงานใหญ่ของบีบีซี ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
สำนักงานใหญ่ของบีบีซี ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ทั้งนี้ สำนักงานดูแลกิจการสื่อในอังกฤษ (Ofcom)ได้ตัดสินใจเพิกถอนใบอนุญาตสถานีข่าว CGTN ของจีน หลังจากพบว่าใบอนุญาตประกอบกิจการของCGTN ถูกถือครองโดยมิชอบโดยบริษัท Star China Media Ltd. นอกจากนั้น ยังพบว่า CGTN ได้ละเมิดกฎการออกอากาศของอังกฤษเมื่อปีก่อน หลังจากได้ออกอากาศข่าวเรื่องพลเมืองสหราชอาณาจักร นายปีเตอร์ ฮัมฟรีย์ ถูกบังคับให้รับสารภาพ

สำหรับสถานีข่าวช่อง บีบีซี เวิลด์ นิวส์ ถือเป็นช่องรายการที่มีผู้ชมมากที่สุดในบรรดาช่องรายการของบีบีซี นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปีค.ศ.1991 โดยได้มีการเสนอทั้งรายการข่าว สารคดี รูปแบบการใช้ชีวิต และบทสัมภาษณ์ต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งคู่แข่งสำคัญของช่องรายการนี้คือ ซีเอ็นเอ็น

ที่มา : BBC , The Guardian