ตำรวจปราบจลาจลเนเธอร์แลนด์ สามารถควบคุมเหตุจลาจลทั่วประเทศได้แล้ว หลังเกิดเหตุโกลาหลทั่วประเทศมานาน 3 วัน

หลายเมืองในเนเธอร์แลนด์ โดยเฉพาะเมืองหลวงอย่างอัมสเตอร์ดัม มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ทั้งปิดร้านค้า และประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างเต็มที่ เร่งคุมสถานการณ์การประท้วงที่ลุกลามบานปลายกลายเป็นเหตุจลาจลต่อเนื่องมานาน 3 วันได้สำเร็จ โดยมีรายงานผู้ก่อเหตุความรุนแรงถูกจับกุมตัวไปเกือบ 500 คน

โดยเมื่อคืนวันอังคารตามเวลาในท้องถิ่น หลังจากมีการประกาศเคอร์ฟิวในเวลา 21.00 น. ยังคงมีการรวมตัวกันของกลุ่มวัยรุ่นในกรุงอัมสเตอร์ดัม แต่ก็สลายตัวไปโดยไม่มีเหตุรุนแรง ขณะที่เมืองรอทเตอร์ดัม มีผู้ชุมนุม 17 คน ถูกควบคุมตัวฐานละเมิดมาตรการเว้นระยะห่าง แตกต่างจากเหตุการณ์เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ที่มีเหตุจลาจลทั่วเมือง มีผู้ก่อเหตุรุนแรงเผารถ และขว้างก้อนหินใส่เจ้าหน้าที่ มีการปล้นสะดมร้านค้า จนมีผู้ถูกจับกุมถึงกว่า 180 คน

พลตำรวจเอก วิลเล็ม โวลเดอร์ส ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเนเธอร์แลนด์แถลงทางโทรทัศน์ว่า เหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นภาพที่แตกต่างจากสองคืนก่อนอย่างชัดเจน โดยเจ้าหน้าที่แทบจะไม่ต้องใช้กองกำลังของตำรวจปราบจลาจลเพื่อระงับเหตุเลย แต่แน่นอนว่าการที่ไร้เหตุความวุ่นวายเพียง 1 คืน ไม่ได้หมายความว่าเจ้าหน้าที่จะวางใจและประมาทได้ โดยตำรวจจะยังคงเฝ้าระวังเหตุอย่างต่อเนื่องต่อไป

...

ทั้งนี้ เหตุความวุ่นวายดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากที่ทางการเนเธอร์แลนด์ประกาศใช้เคอร์ฟิวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อใช้ควบคุมการระบาดของโควิด-19 หลังมีรายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์จากอังกฤษ ทำให้เกิดการประท้วงแสดงความไม่พอใจ จนลุกลามกลายเป็นเหตุจลาจล ซึ่งทางการได้ใช้ทุกวิถีทางในการควบคุมสถานการณ์ โดยนอกจากการใช้กำลังของตำรวจแล้ว ยังมีการแจ้งเตือนไปยังผู้ปกครองให้ดูแลบุตรหลานให้อยู่แต่ในบ้าน ไม่ให้ออกไปร่วมชุมนุมหรือก่อเหตุ เพราะอาจจะกลายเป็นอาชญากรและมีคดีติดตัว

ขณะที่มาตรการต่างๆ ในการควบคุมโควิด-19 ยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป ทั้งการปิดโรงเรียนและปิดร้านค้าที่ไม่จำเป็น ปิดบาร์ และร้านอาหารต่อเนื่อง โดยยอดรวมผู้เสียชีวิตสะสมในประเทศอยู่ที่ 13,644 ราย ขณะที่ยอดติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 956,867 คน.
ที่มา : รอยเตอร์