รองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ปฏิเสธ ข้อเสนอของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯที่ลงมติด้วยคะแนนรับรอง 223 ต่อ 205 เสียง เรียกร้องอย่างเป็นทางการให้รองประธานาธิบดีเพนซ์ ใช้อำนาจตามบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตราที่ 25 เพื่อประกาศว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้และใช้อำนาจในฐานะรักษาการประธานาธิบดีได้ทันที หลังปลุกระดมกลุ่มผู้สนับสนุนบุกโจมตีอาคารรัฐสภาของสหรัฐฯเมื่อสัปดาห์ก่อน

ก่อนหน้าการลงมติของสภา รองประธานาธิบดี เพนซ์ได้ส่งหนังสือถึงนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กล่าวว่า ตนไม่เชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศหรือสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ และเตือนว่าความพยายามที่จะปลดทรัมป์เสี่ยงต่อการแบ่งแยกที่เพิ่มมากขึ้นและทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย หนังสือฉบับดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่เพโลซียื่นคำขาดให้รองประธานาธิบดี เพนซ์ตอบกลับภายใน 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะปลดทรัมป์ออกจากตำแหน่งโดยใช้อำนาจของเขาหรือจะปล่อยให้ทรัมป์กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์อเมริกาที่ถูกยื่นเรื่องเพื่อถอดถอนเป็นครั้งที่ 2 โดยสภา

หลังการปฏิเสธของเพนซ์ เพโลซีได้ประกาศให้ เจมี แรสกิน ส.ส.จากรัฐแมรีแลนด์ อดีตศาสตราจารย์กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นผู้จัดการกระบวนการถอดถอนทรัมป์ วันเดียวกันทรัมป์ได้กล่าวโจมตีเดโมแครตในความพยายามที่จะถอดถอนตน และยังประกาศไม่รับผิดชอบต่อเหตุการณ์จลาจลที่เกิดขึ้นที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 คนและคุกคามชีวิตของสมาชิกสภาคองเกรส เจ้าหน้าที่รัฐสภา และท้าทายกฎหมาย ทรัมป์ยังกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า สิ่งที่ตนพูดนั้นถูกต้องเหมาะสมแล้ว และไม่ต้องการความรุนแรง การยื่นฟ้องถอดถอนครั้งนี้จะทำให้ประชาชนโกรธแค้นอย่างมาก

ทั้งนี้ สภาคาดว่าจะลงมติถอดถอนอิมพีชเมนต์ วันที่ 13 ม.ค. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯในข้อหา “ยุยงให้เกิดการจลาจล” ทรัมป์จึงมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนแรกที่ถูกดำเนินการถอดถอนถึง 2 ครั้ง และเป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ที่ถูกยื่นเรื่องถอดถอน สำหรับกระบวนการลงโทษทรัมป์ไม่น่าจะมีปัญหาในขั้นตอนสภาผู้แทนราษฎรเนื่องจากเดโมแครตครองเสียงข้างมาก และไปตัดสินกันที่ขั้นตอนวุฒิสภาที่ต้องใช้เสียงถึง 2 ใน 3 ซึ่งหมายความว่าต้องมีรีพับลิกันอย่างน้อย 17 คนลงคะแนนเสียง ทั้งนี้ สื่ออย่าง เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ เผยว่ามีวุฒิสภาจากรีพับลิกันมากถึง 20 คน ที่พร้อมลงมติลงโทษผู้นำสหรัฐฯ หากถูกถอดถอนจะทำให้สูญเสียสิทธิพิเศษต่างๆ เงินบำนาญ การรักษาความปลอดภัย รวมทั้งยังไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆในอนาคตได้อีก.

...