ความทันสมัยของ ผู้นำไทย ซึ่งน่าจะเป็นชาติแรกๆด้วยซ้ำไป ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่งจดหมายน้อยแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ โจ ไบเดน อย่างไม่เป็นทางการ เข้าข่าย ผู้นำสมัยใหม่เสือปืนไว ไม่เชื่องช้า พอๆกับ อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่อยู่พรรคตรงกันข้ามกับ โจ ไบเดน ส่งสาส์นให้กำลังใจ ไบเดน ในฐานะผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ ส่วนฝ่าย ทรัมป์ ยังไม่ยอมรามือง่ายๆ หาช่องทางให้มีการนับคะแนนเลือกตั้งใหม่ ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ทั้งที่คะแนนทุกประเภท ไบเดน ได้รับมาอย่างท่วมท้น ทรัมป์ก็คือทรัมป์วันยังค่ำ

ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ จะใช้ ผู้พิพากษาศาลสูง ให้ช่วยอย่างไร จะลามไปถึงการแทรกแซงของต่างชาติ ท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวก็จะยุติภายใต้ครรลองของระบอบประชาธิปไตยอยู่ดี กองเชียร์จะเป็นประเภทขี้แพ้ชวนตี ก่อความวุ่นวาย อย่างไร กฎหมายก็ยังเป็นกฎหมาย อยู่ดี

มีหลายฝ่ายรวมทั้งสำนักข่าวต่างประเทศ วิเคราะห์กันว่า ความพ่ายแพ้ของ ทรัมป์ จะนำไปสู่ สงครามกลางเมือง ของอเมริกา อีกรอบ แต่ด้วยความเป็นอิสระเสรีและยึดถึงความเป็นชาติ อเมริกาต้องมาก่อน เมื่อถึงเวลาจบก็ต้องจบ ไปว่ากันในสนามเลือกตั้งครั้งต่อไป

สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นประชาธิปไตยก็คือระหว่างที่ ทรัมป์ แถลงข่าวแล้วไปพาดพิงถึงสื่อใหญ่เข้าถูกตัดสัญญาณออกอากาศทันที แล้ว สื่อต่างๆจะประกาศสนับสนุนใครก็ได้ เป็นอิสระเสรีทางความคิด ลองเป็นบ้านเรา ทัวร์ลงแน่นอน หาว่าสื่อไม่เป็นกลาง ทั้งๆที่ทุกวันนี้ ความเป็นกลางคืออะไร อยู่ตรงจุดไหน ยังหาไม่เจอ

มีคนถามว่า แล้วไทยจะมีผลกระทบอะไรไหม เอาเป็นว่าที่ผ่านมา เราเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญกับสหรัฐฯ เราส่งออกไปสหรัฐฯกว่าร้อยละ 25 แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าและจำนวนของสินค้าที่ส่งไปสหรัฐฯ กับประเทศอื่น เช่น จีน ญี่ปุ่น ของเราถือว่า แค่จิ๋วเดียว หรือจะไปเคลมว่า เราเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯมาตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม คงไม่มีประโยชน์แล้ว

...

ประเด็นที่ว่า เราถูกตัดจีเอสพีเพราะไม่ยอมอนุญาตให้นำหมูและชิ้นส่วนเข้าประเทศบ้าง ไม่ยอมร่วมเป็นสมาชิกธุรกิจการค้าเอเชียแปซิฟิกกับสหรัฐฯ CPTPP บ้าง ละเมิดสิทธิมนุษยชน การใช้แรงงานเด็กและสตรีบ้าง หรือตอนยึดอำนาจใหม่วิตกกันว่า เราจะถูกบอยคอต ถูกตัดความช่วยเหลือ ก็เห็นเราก็อยู่ของเรามาได้

เราก็ยังซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ ยังส่งสินค้าไปสหรัฐฯ ยังมีการฝึกร่วมกับสหรัฐฯ อาจจะเป็นเพราะสหรัฐฯต้องการที่จะ ปักหมุดในอาเซียน อะไรก็แล้วแต่ สำหรับประเทศไทย ในสายตาสหรัฐฯ แค่ขี้ปะติ๋วเดียว รัฐกับรัฐอาจจะอีกรูปแบบ แต่เอกชนกับเอกชนเขาก็ทำมาค้าขายกันไป เหมือนจีนกับสหรัฐฯขึ้นภาษีสารพัดนักธุรกิจสหรัฐฯก็ยังไปลงทุนที่จีน นักธุรกิจจีนก็ยังไปลงทุนสหรัฐฯ ตราบใดที่ไม่เกิดสงคราม และประเทศไทยเองก็ไม่ใช่ประเทศเป้าหมาย

ยกเว้นจะมีเรื่องก่อการร้ายเกิดขึ้นในบ้านเรา อันนี้กระทบแน่ ส่วนที่ว่าเราโปรจีนมากกว่าสหรัฐฯ หรือนโยบายต่างประเทศของไบเดนจะออกมาหน้าไหน คงไม่ต้องไปคิดแทนไบเดนให้เมื่อยตุ้ม

เอาเรื่องในบ้านเราให้จบก่อนดีกว่าไหม.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th