เมื่อ 30 ส.ค. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และนายกเทศมนตรีเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน กับนายโจ ไบเดน ตัวแทนพรรคเดโมแครต ไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับทรัมป์ ในการเลือกตั้งใน 3 พ.ย.นี้ ต่างโจมตีซึ่งกันและกัน กรณีเกิดความรุนแรงระลอกใหม่ในเมืองพอร์ตแลนด์ เมื่อ 29 ส.ค. และมีชายคนหนึ่งถูกยิงตายขณะเกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ และกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านการเหยียดผิว “แบล็ค ไลฟ์ แมทเทอร์” (ชีวิตคนดำมีค่า) จนต้องส่งตำรวจของรัฐเข้าไปช่วยตำรวจท้องถิ่นควบคุมสถานการณ์
ทรัมป์ทวีตข้อความกล่าวหาว่านายเทด วีลเลอร์ นายกเทศมนตรีเมืองพอร์ตแลนด์ปล่อยให้เมืองนี้ถูกทำลายและมีผู้เสียชีวิต เมืองนี้ไม่มีทางฟื้นฟูได้ถ้ามีนายกเทศมนตรีที่โง่เง่าเช่นวีลเลอร์ ทรัมป์ยังแย้มว่าจะส่งกองกำลังรัฐบาลกลางเข้าไปควบคุมความรุนแรงในเมืองพอร์ตแลนด์อีกครั้ง ส่วนวีลเลอร์แถลงตอบโต้ว่าทรัมป์เป็นผู้สร้างความเกลียดชังและแตกแยก อย่าเข้ามายุ่งกับเมืองนี้ และขอให้ฝูงชนอย่าเข้าสู่เมือง
เพื่อแก้แค้นให้ผู้ถูกยิงตาย ซึ่งกลุ่มขวาจัด “แพทริออต เพรเยอร์” ระบุว่าชื่ออารอน “เจย์” แดเนียลสัน ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มของตน แต่ตำรวจยังไม่ระบุว่าเขาถูกใครยิงตาย
ทรัมป์ยังกล่าวหาไบเดนว่า “ไม่เต็มใจเป็นผู้นำ” หลังทรัมป์ชูนโยบายรักษา “ระเบียบและกฎหมาย” ในการหาเสียง กล่าวหาไบเดนและพรรคเดโมแครตว่าไม่เข้มแข็งในการต่อสู้อาชญากรรม ส่วนฝ่ายเดโมแครตตอบโต้ว่าความรุนแรงเกิดขึ้นในยุคทรัมป์เป็นผู้นำ คำพูดยั่วยุของเขาทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ขณะที่ไบเดนแถลงตอบโต้ว่า ทรัมป์อาจเชื่อว่าการทวีตเรื่องระเบียบและกฎหมายทำให้ตนเองดูแข็งแกร่ง แต่ความล้มเหลวของทรัมป์ที่ไม่สามารถขอให้กลุ่มผู้สนับสนุนยุติความรุนแรงได้ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของเขาเอง
ฝ่ายเดโมแครตยังกล่าวหาว่าทรัมป์พยายามโหมไฟความตึงเครียดด้านสีผิวและยุยงให้เกิดความรุนแรงเพื่อหวังผลในการเลือกตั้ง หลังทรัมป์ชมเชยกลุ่มผู้ประท้วงที่สนับสนุนตนเองที่ปะทะกับกลุ่มต่อต้านการเหยียดผิวในเมืองพอร์ตแลนด์ เขายังประกาศว่าจะไปเยือนเมืองเคโนชา รัฐวิสคอนซิน ซึ่งเกิดเหตุตำรวจยิงนายยาคอบ เบลค ชายผิวดำอีกคนเสียชีวิตเมื่อสัปดาห์ก่อนด้วย
ทั้งนี้ เมืองพอร์ตแลนด์กลายเป็นจุดประท้วงต่อต้านความโหดร้ายของตำรวจและการเหยียดเชื้อชาติสีผิว นับตั้งแต่ตำรวจผิวขาวใช้เข่ากดคอนายจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำจนเสียชีวิตที่เมืองมินนีอาโพลิส รัฐมินเนโซตา เมื่อ 25 พ.ค. จุดชนวนประท้วงใหญ่ทั่วสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ มาตั้งแต่นั้น.
...