ตื่นทองกันไปทั้งโลก ถึงขนาดเจ้าของทฤษฎีระบบผลประโยชน์ฟันธง ว่า ราคาทองรอบนี้มีโอกาสจะพุ่งไปแตะ 5 หมื่นบาท ส่วน “โกลแมน แซคส์” วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่อเมริกาเชื่อเกินร้อยว่า ภายในปีหน้าราคาทองจะขึ้นไปแตะ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หลังทุบสถิติพุ่งสูงสุดตลอดกาลไปทดสอบใกล้ระดับ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ บ่งชี้ว่า ชาวโลกกำลังตื่นกลัวขี้ขึ้นหัวสุดๆ และไม่เชื่อว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยุติลงง่ายๆ

ย้อนดูได้เลยทุกครั้งที่มีเหตุการณ์รุนแรง ผู้คนหวาดกลัว ไม่มั่นใจในอนาคต หรือเกิดวิกฤตการณ์ใหญ่ๆ โดยเฉพาะสงคราม ราคาทองคำจะพุ่งกระฉูดนำหน้าสินทรัพย์ทุกชนิด เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์หลบภัยชั้นดีที่สุดที่จะช่วยปกป้องความมั่งคั่งในยามโลกไม่สงบ

ก่อนจะมีธนบัตร, พันธบัตร และตลาดหุ้น “ทองคำ” ถือเป็นโลหะมีค่าชนิดแรกที่มนุษย์ใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าและลงทุนระหว่างประเทศ จากอดีตที่เคยนำสินค้าแลกกับสินค้าโดยตรง ถ้าไม่นับรวมบทบาทของทองคำที่อยู่คู่อารยธรรมของมนุษย์กว่า 6,000 ปี ในฐานะสัญลักษณ์ความมั่งคั่ง, ร่ำรวย และความรุ่มรวยทางวัฒนธรรม ยุคเฟื่องฟูสุดของทองคำเริ่มต้นขึ้นในปี 1944 เมื่อ 44 ประเทศจากทั่วโลกเห็นพ้องในการประชุมนานาชาติเพื่อจัดระเบียบการเงินระหว่างประเทศ ที่เมืองเบรตตันวูดส์ รัฐนิวแฮมพ์เชียร์ สหรัฐอเมริกา ว่าจะใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ กำหนดให้ทองคำ 1 ออนซ์ เท่ากับ 35 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามข้อเสนอ ของผู้แทนอเมริกา “แฮร์รี ดี. ไวท์” ภายใต้ระบบเบรตตันวูดส์ โดยไอเอ็มเอฟ และธนาคารโลกก็ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกัน เพื่อกำกับดูแลเสถียรภาพทางการเงินระหว่าง ประเทศ ในยุคนั้นทุกประเทศจะต้องมีทองคำสำรองไว้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน จึงจะสามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้ในประเทศ ไม่เหมือน ปัจจุบันที่อเมริกาปั๊มเงินตามอำเภอใจ สามารถอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเท่าที่พอใจ ผ่านการใช้มาตรการ QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ปล่อยให้ประเทศอื่นมองตาปริบๆเหมือนถูกโกงซึ่งๆหน้า

...

ความขลังของทองคำเริ่มเสื่อมมนต์ในยุคต้นทศวรรษ 1970 เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯกลายเป็นสกุลเงินสากลหลักของโลกแทนทองคำ ผลจากการเข้าสู่สงครามเวียดนาม ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาถดถอยลงและขาดดุลการค้าขึ้นเรื่อยๆ ฉุดรั้งให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงต่อเนื่อง หลายประเทศที่ถือเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯเริ่มเคลือบแคลงว่าอเมริกาพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้มากกว่าทองคำที่มีอยู่ในคลังสำรองประเทศ จึงนำเงินดอลลาร์สหรัฐฯขอแลกทองคำคืน โป๊ะแตกเพราะอเมริกาไม่สามารถหาทองคำคืนได้ กดดัน “ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันของอเมริกา” ต้องประกาศยุติการตรึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯไว้กับทองคำที่ 35 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ตั้งแต่นั้นมาค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯก็ลอยตัวตามจริงเมื่อเทียบกับราคาทองคำ

แม้คนส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่า ทองคำคือสินทรัพย์ปลอดภัยในสภาวะเสี่ยง แต่ปรมาจารย์การลงทุน VI ของโลก “คุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์” ประกาศไม่ชอบทองคำมาตลอด และตราหน้าคนที่ซื้อทองว่าโง่!! โดยให้เหตุผลว่า ทองคำอาจเป็นสินทรัพย์ที่คนส่วนใหญ่ยอมรับว่าปลอดภัย แต่มันมีจุดอ่อนอยู่ 2 อย่างคือ เอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ และไม่สามารถสร้างผลผลิตอะไรขึ้นมาได้เลย ถ้าคุณมีทองคำหนึ่งออนซ์ ทองคำนั้นจะเป็นหนึ่งออนซ์ตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่เหมือนหุ้นที่มีการเติบโตและเงินปันผล

ตัวอย่างคลาสสิกสุดของคุณปู่ คือการเปรียบเทียบโดยเอาทองคำทั้งโลกที่มีอยู่ราว 170,000 เมตริกตัน มาหลอมรวมกันแล้วคำนวณจากราคาขณะนั้น 1,750 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ จะได้มูลค่า 9.6 ล้านล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ สิ่งนี้คือก้อน A จากนั้นลองสร้างก้อน B โดยใช้เงินเท่ากัน โดยนำเงินไปซื้อไร่นาในอเมริกา 400 ล้านเอเคอร์ ซึ่งทำรายได้ รวมกันปีละ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แล้วแบ่งเงินไปซื้อบริษัทกำไรงามอย่าง “เอ็กซ์ซอน โมบิล” 16 บริษัท โดยแต่ละบริษัททำกำไรมากกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี ลงทุนทั้งหมดนี้แล้วเรายังเหลือเงินติดกระเป๋าอีก 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดดูว่าจะมีใครซื้อก้อน A แทนที่จะซื้อก้อน B ไหม ภายใต้แนวคิดดังกล่าวหนึ่งศตวรรษนับจากนี้ คาดว่าฟาร์มแลนด์ 400 ล้านเอเคอร์ จะสามารถผลิตพืชสวนไร่นา และสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทเอ็กซ์ซอน โมบิล สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างมหาศาล และจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตรงข้ามกับทองคำ 170,000 เมตริกตัน ยังไงก็เป็นทองคำ 170,000 เมตริกตัน ไม่สามารถให้ผลผลิตใดๆเพิ่ม คุณปู่ย้ำว่าชีวิตนี้ไม่เคยเห็นใครรวยเพราะทองคำ นอกจากเจ้าของเหมือง...อ้าวตื่นๆๆหายตื่นทองกันได้หรือยัง.

มิสแซฟไฟร์