เมื่อ 1 ม.ค. นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรี 4 สมัยแห่งอิสราเอล ยื่นขอเอกสิทธิ์คุ้มครองจากสภาผู้แทนราษฎร (เนสเซต) ไม่ให้ถูกดำเนินคดีในข้อหาคอร์รัปชัน หลังเมื่อเดือน พ.ย. 2562 ถูกอัยการสูงสุดยื่นฟ้องข้อหารับสินบน ฉ้อโกง และทำผิดต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 3 คดีใหญ่ ซึ่งการยื่นขอเอกสิทธิ์คุ้มครองจะทำให้การพิจารณาคดีล่าช้า เพราะคาดว่าสภาฯจะยังไม่ลงมติเรื่องนี้จนกว่าจะผ่านพ้นการเลือกตั้งทั่วไปใน 2 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการลงประชามติโดยปริยายว่าประชาชนสนับสนุนการให้เอกสิทธิ์คุ้มครองและให้เขาเป็นผู้นำต่อไปหรือไม่

เนทันยาฮูซึ่งเป็นผู้นำพรรคลิคุดฝ่ายขวามาถึง 20 ปี อ้างว่าการยื่นขอเอกสิทธิ์คุ้มครองเป็นไปตามกฎหมายมาตราที่ 4 ซี และตนมีเป้าหมายรับใช้ประชาชนต่อไปเพื่ออนาคตของอิสราเอล เขายังชี้ว่าตนตกเป็นเหยื่อการสมรู้ร่วมคิดที่ไม่ยุติธรรมจากอัยการ สื่อมวลชน และศัตรูทางการเมือง พร้อมอวดอ้างผลงานด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง เขายังชี้ว่าข้อเสนอของผู้เชี่ยวชาญกฎหมายที่จะให้ศาลฎีกาตัดสินว่าประธานาธิบดีสามารถมอบหมายให้นายกฯ จัดตั้งรัฐบาลใหม่ระหว่างถูกดำเนินคดีนั้นเป็น “กับดัก” ประชาชนเท่านั้นที่จะตัดสินให้ใครเป็นผู้นำตามปกติการให้เอกสิทธิ์คุ้มครองนายกฯ ต้องผ่านการลงมติจากสภาผู้แทนฯ จากนั้นส่งต่อให้ทั้งสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภาลงมติร่วมกัน และนายกฯ จะพ้นจากตำแหน่งก็ต่อเมื่อทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาตัดสินว่ามีความผิดแล้วเท่านั้น

ด้านนายเบนนี แกนท์ซ ผู้นำพรรคบลู แอนด์ ไวท์ ฝ่ายค้านหลักสายซ้าย-กลางแถลงว่า เนทันยาฮู รู้ดีว่ามีความผิด พรรคของตนจะยับยั้งการให้
เอกสิทธิ์คุ้มครองทุกวิถีทาง ในอิสราเอลไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย พรรคบลู แอนด์ ไวท์ ยังมีแผนตั้งคณะกรรมาธิการในสภาผู้แทนฯ เพื่อจัดการเรื่องเอกสิทธิ์คุ้มครองของเนทันยาฮูก่อนการเลือกตั้งใน 2 มี.ค.

...

อนึ่ง ในข้อหาคอร์รัปชันต่อเนทันยาฮูนั้นรวมทั้งข้อหารับของขวัญมูลค่าหลายพันดอลลาร์ และการเสนอแก้ไขกฎเกณฑ์บางอย่างแลกกับการให้สื่อรายงานในด้านบวกต่อเนทันยาฮูและรัฐบาล ทั้งนี้ การเลือกตั้ง 2 ครั้งก่อนในเดือน เม.ย.และ ก.ย.ปีที่แล้ว พรรคลีคุดและบลู แอนด์ ไวท์ ไม่มีพรรคใดได้ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ จึงต่างไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมได้จนถึงบัดนี้ และต้องมีการเลือกตั้งครั้งที่ 3 หวังผ่าทางตันทางการเมือง.