ผมเรียนรับใช้ไปหลายครั้ง ว่าคนจีนนิยมแคนาดาและออสเตรเลียอย่างมาก สินค้าใดก็ตามถ้าประทับตราใบเมเปิ้ลและรูปจิงโจ้หรือแสดงสื่อสัญลักษณ์อย่างอื่นว่ามาจาก 2 ประเทศนี้ ขายดีในประเทศจีนมาก แม้ราคาจะสูง แต่คนจีนชั้นกลางขึ้นไปก็จะซื้อหามาบริโภค ใครก็ตามที่เริ่มมีฐานะ ก็จะส่งลูกหลานไปเรียนในแคนาดาและออสเตรเลีย คนที่มีสตางค์มากก็จะไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในแคนาดาและออสเตรเลีย รวมทั้งโยกย้ายลูกหลานไปเตรียมรอเพื่อให้ได้สัญชาติ

ตั้งแต่แคนาดาจับนางเมิ่ง หว่านโจว ลูกสาวประธานหัวเว่ยตามคำเรียกร้องของสหรัฐฯ ความนิยมในสินค้าแคนาดาก็ลดลง อาหารประเภทเนื้อและพืชผักผลไม้โดนจีนตรวจสอบอย่างละเอียด วันอังคารที่ 25 มิถุนายน 2562 สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำแคนาดาออกแถลงการณ์ว่าศุลกากรจีนพบสารต้องห้ามในเนื้อหมูที่นำเข้าจากแคนาดา จากการตรวจสอบอย่างจริงจังของทางการจีนยังพบว่า มีใบรับรองคุณภาพเนื้อสัตว์ปลอมจากแคนาดามากถึง 188 ใบ ดังนั้นตั้งแต่ 25 มิถุนายน 2562 รัฐบาลจีนจึงขอให้รัฐบาลแคนาดางดออกใบรับรองคุณภาพเนื้อสัตว์ที่จะส่งมาจีน

การกระทำที่ไม่ค่อยฉลาดและอ่อนประสบการณ์ของผู้นำแคนาดานำความเสียหายมาสู่อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ของแคนาดาที่ในอดีตมีชื่อเสียงมาก ตอนนี้พวกรัฐมนตรีของแคนาดาจึงวิ่งกันเท้าพลิก และขอให้สำนักงานตรวจสอบความปลอดภัยทางอาหารของแคนาดาไปขอข้อมูลจากหน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารของจีน อุตสาหกรรมการผลิตเนื้อหมูและเนื้อวัวของแคนาดาที่เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟุ้งเพราะจีนซื้อเป็นจำนวนมากนั้น ก็จะเผชิญแต่ความซบเซาเหงาหงอย

จีนเล่นงานแคนาดาคราวนี้ แคนาดาเจ็บมากนะครับ เจ้าหน้าที่ศุลกากรจีนของเมืองต่างๆตรวจเนื้อหมูจากแคนาดาอย่างละเอียดทุกแห่ง ปรากฏว่าเจอเนื้อหมูของบริษัท ฟริโก รอยัล ของแคนาดาปนเปื้อนสารแรคโตพามินซึ่งเป็นสารเร่งเนื้อแดง สารนี้ใช้ในสหรัฐฯได้ แต่ในสหภาพยุโรปและจีนไม่อนุญาตให้ใช้ ความหายนะก็ลามปามเกาะกินแคนาดาเป็นขี้กลาก และสหภาพยุโรป 28 ประเทศก็อาจจะงดการนำเข้าเนื้อหมูจากแคนาดาด้วย

...

ออสเตรเลียตระหนกตกใจในผลกระทบที่จะมาจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียที่มีชื่อว่านายสก็อตต์ มอร์ริสัน แกออกมาพูดเองว่า ผลกระทบจากความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างจีน-สหรัฐฯ ไม่ได้เกิดแค่เฉพาะสองมหาอำนาจที่ทะเลาะกันเท่านั้น แต่ลามปามไปทั่วโลก รวมทั้งออสเตรเลียซึ่งเป็นคอหอยลูกกระเดือกของสหรัฐฯด้วย

ขณะที่เขียนเปิดฟ้าส่องโลกฉบับวันศุกร์ ผมก็คอยอ่านร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่เราเรียกกันว่า จี 20 ซึ่งปีนี้มาประชุมกันที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น เชื่อว่าประเด็นที่ทุกประเทศสนใจก็น่าจะเป็นเรื่องรูปแบบการส่งเสริมการค้าเสรีซึ่งเป็นรูปแบบที่ทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตอย่างแข็งแกร่งมานาน แต่มาสะดุดหยุดลงเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯพยายามทำลายการค้าเสรี และใช้อำนาจบาตรใหญ่ของสหรัฐฯบังคับค้ากับประเทศโน้นชาตินี้ จนนำไปสู่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ

ผู้อ่านท่านยังจำการประชุมสุดยอดที่กรุงบัวโนสไอเรส อาร์เจนตินาเมื่อปีที่แล้วได้ไหมครับ ตอนนั้นพวกนี้ก็พยายามเรียกร้องให้ต่อต้านการปกป้องทางการค้า (ของสหรัฐฯ) และขอให้มีแถลงการณ์ร่วมประณามการปกป้องการค้า แต่สหรัฐฯไม่ยอม กดดันพวกที่เข้าประชุมจนที่ประชุมต้องยอมลบประโยคที่เรียกร้องให้มีการต่อต้านการปกป้องการค้าออกจากแถลงการณ์ร่วม

ผมอ่านแถลงการณ์ของการประชุมระดับรัฐมนตรีคลัง จี 20 ที่ประชุมกันก่อนหน้านี้ นึกว่าจะมีใครสักคนกล้าหาญชาญชัยเรียกร้องให้ต่อต้านการปกป้องการค้า แต่ก็ผิดหวังครับ เพราะไม่มีหนูตัวไหนกล้าเอากระดิ่งไปผูกคอแมว มีแต่สมาชิกของบางประเทศในสหภาพยุโรปที่เรียกร้องอย่างจุ๋มจิ๋มให้ที่ประชุมสุดยอดมีประโยคเตือนอันตรายของการใช้นโยบายปกป้องการค้าเท่านั้น

นโยบายปกป้องการค้าที่อยู่ใต้สมองของประธานาธิบดีทรัมป์ จะทำให้ระบบเศรษฐกิจโลกพังได้ครับ แต่ก่อนที่ประเทศอื่นจะพัง ผมว่าสหรัฐฯนั่นแหละที่จะพังเอง.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com