และแล้ว สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน ก็ระเบิดขึ้น ในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ หลังจากประกาศท่าทีมาตั้งแต่ตอนหาเสียง จนชนะเลือกตั้งแล้ว ว่าจะเข้ามาแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้ามโหฬารของสหรัฐฯ ที่มาจากการค้าที่ไม่เป็นธรรมให้จงได้
ทรัมป์ เดินเครื่องเขย่าการค้าโลก ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก 25% และอลูมิเนียม 10% เมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา พร้อมกับทวีตแจงเหตุผลที่ต้องตั้งกำแพงภาษีผ่านทางทวิตเตอร์ว่า ‘ขาดดุลการค้าปีละ 8 แสนล้านดอลลาร์ เป็นเพราะเรามีนโยบายการค้าที่โง่มาก’
เรียกว่า เสียงปี่เสียงกลอง ‘สงครามการค้า’ ดังขึ้นทันทีที่ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมนำเข้า ที่ส่งผลกระทบต่อหลายชาติไปแบบเต็มๆ ทำให้ รัฐบาลจีน ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ออกโรงตอบโต้ สหรัฐฯ แบบ ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ ด้วยการใช้มาตรการขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐฯ เช่นกัน อันนำมาสู่การเกิดของสงครามการค้าอย่างเต็มตัวแล้วในเวลานี้
*ใครจะชนะในสงครามการค้า?
...
เว็บไซต์ Foutune ลงบทความของผู้ช่วยศาสตราจารย์ แอน แมไดรา จากคณะรัฐศาสตร์ที่ควีนส์ คอลเลจ, City University of New York ที่ได้เขียนวิเคราะห์ถึงการที่ ทรัมป์ ประกาศตั้งกำแพงภาษี ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม พร้อมกับทวีตข้อความด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่องว่า ‘สงครามการค้าเป็นเรื่องดี และง่ายต่อการชนะ’ ทว่าคำถามที่น่าสนใจก็คือ “แล้วใครล่ะที่จะเป็นฝ่ายชนะ?”
เพราะจากบทเรียนจากประวัติศาสตร์ เป็นที่แน่ชัดว่า สงครามการค้าไม่มีใครเป็นฝ่ายชนะ และยังเป็นที่แน่ชัดอีกว่า มันไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะจะเป็นการสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของทุกประเทศที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความตึงเครียด และเพิ่มความเสี่ยงของความขัดแย้งระหว่างประเทศอีกด้วย
*สงครามการค้าในอดีต พ่ายแพ้กันถ้วนหน้า
เว็บไซต์ Foutune ยกบทเรียน สงครามการค้าโลกครั้งสุดท้ายที่ผ่านมาว่า ถูกจุดชนวนโดยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า ‘Smoot-Hawley tariff’ ในปี ค.ศ.1930 เพื่อหวังจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) หลังจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสมาชิกสภาคองเกรส 2 คนได้เสนอร่างกฎหมายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าด้านการเกษตร หวังช่วยเหลือเกษตรกรอเมริกัน
แต่หลังจากสหรัฐฯ ขึ้นกำแพงภาษี สิ่งที่ตามมาก็คือ การโดนลงโทษ ถูกตอบโต้จากทั่วโลกอย่างฉับพลัน และใช้วิธีขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน โดยประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ ในขณะนั้น ได้ขึ้นภาษีตอบโต้ และลดการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงถึงครึ่งหนึ่ง จากนั้นประเทศในยุโรปหลายประเทศ ก็ใช้มาตรการตอบโต้การขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ จนทำให้สงครามการค้าอุบัติขึ้น
จากบทเรียนในครั้งนั้น ไม่มีใครชนะในสงครามการค้า โดยโศกนาฏกรรมจากสงครามการค้า แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ทุกคนพ่ายแพ้ทั้งหมด สหรัฐฯ ต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยหนักขึ้น เลวร้ายขึ้น ขณะที่การค้าโลกล่มสลายเกือบทั้งหมด และยืดเยื้อยาวนาน
*เตือน สหรัฐฯ จะเสียหายหนักกว่าครั้งก่อน
บทความดังกล่าว ในเว็บไซต์ Foutune ยังเตือนไปถึงทรัมป์ ด้วยว่า “อย่าคิดว่า การทำสงครามการค้า จะชนะแบบง่ายๆ? ขอจงอยู่ให้ห่างไกลจากสงครามการค้า” ที่สำคัญ สงครามการค้าในวันนี้ จะยิ่งสร้างความเสียหายต่อสหรัฐฯ มากกว่าสงครามการค้าที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1930 เนื่องจากทุกวันนี้ สินค้าส่งออกของสหรัฐฯ เป็นสัดส่วนในผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่มากกว่าเมื่อตอนเกิดสงครามการค้าครั้งที่ผ่านมา
...
ถ้าประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ อย่าง ยีนส์ น้ำผลไม้ รถจักรยานยนต์ฮาร์เลย์ เดวิดสันฯ จะส่งผลให้ผู้ผลิตในสหรัฐฯ ต้องสูญเสียเงินมหาศาลหลายพันล้านดอลลาร์ในการส่งออกสินค้าไปขายในต่างประเทศ และจะทำให้ชาวอเมริกันต้องตกงานอีกหลายพันคน
*ทรัมป์ จุดชนวนสงครามการค้า เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน
แน่นอนว่า ถึงแม้จะมีเสียงทักท้วงจากนักเศรษฐศาสตร์ นักรัฐศาสตร์นานาประเทศ บริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ เอง ไปจนถึงองค์การค้าโลก ถึงความเสียหายที่จะเกิดตามมาจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้า แต่ ทรัมป์ ก็ยังคงเดินหน้าขึ้นภาษี และตอบโต้จีน ด้วยการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 25% จำนวนถึง 1,300 รายการ มูลค่านับ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งสินค้าเหล่านี้ รวมถึง ทีวี และรถจักรยายนต์ที่ผลิตโดยจีน
ทำเนียบขาว ชี้แจงว่า ข้อเสนอให้ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 1,300 ราย เพื่อตอบโต้การปฏิบัติด้านทรัพย์สินทางปัญญาของจีนอย่างไม่เป็นธรรม
...
* จีนเตือนแต่แรก สหรัฐฯ คิดผิดมหันต์
นับตั้งแต่ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายหวัง อี้ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้กล่าวเตือนรัฐบาลทรัมป์ ว่า การเลือกทำสงครามการค้าเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะสุดท้ายแล้ว เป็นการทำร้ายผู้อื่นและตัวเอง โดยรัฐบาลจีนจะดำเนินมาตรการตอบโต้อย่างสมน้ำสมเนื้อต่อสหรัฐฯ อย่างแน่นอน
ขณะที่ องค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งมีชาติสมาชิก 18 ประเทศ นำโดย จีน ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยุติการผลักดันการตั้งกำแพงภาษีเหล็กและอลูมิเนียม แต่ทรัมป์ได้ยืนยันท่าทีเดิม พร้อมทั้งประกาศว่า สหรัฐฯ มีแผนจะขึ้นภาษีสินค้าจากจีนเพื่อปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ ด้วย โดย ทรัมป์ ได้ทวีตข้อความด้วยถ้อยคำแข็งกร้าวว่า ‘สหรัฐฯ กำลังจัดการอย่างเด็ดขาดกับไอ้หัวขโมยทรัพย์สินทางปัญญา เราจะไม่ยอมให้มันขโมยของของเราได้อีก เหมือนกับที่เคยทำมา’
*จีนตอบโต้ ขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ แบบตาต่อตา
...
หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมแล้ว รัฐบาลประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 128 รายการ รวมทั้งเนื้อหมูแช่แข็ง ผลไม้ และไวน์ มูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา
และต่อมา ในวันที่ 4 เมษายน รัฐบาลจีนได้ตอบโต้ทรัมป์แบบทันควันที่ขึ้นภาษีสินค้าจากจีนถึง 1,300 รายการ ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 25% จำนวนอีก 106 รายการ รวมทั้ง ถั่วเหลือง ผลิตภัณฑ์ข้าวโพด สารเคมี รถยนต์ น้ำส้ม
เรียกว่า รัฐบาลสี จิ้นผิง ใช้มาตรการเดียวกับที่สหรัฐฯ ทำต่อจีน นั่นคือ การขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ ตามที่นักวิเคราะห์ทั้งหลายเตือนกันก่อนหน้าไม่มีผิด ส่วนสงครามการค้ารอบใหม่ที่ระเบิดขึ้นแล้ว ‘ทุกคนแพ้หมด’ จริงหรือเปล่า?? คงไม่นานเกินรอ พวกเราชาวโลกจะได้ทราบกัน และคงได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ไม่มากก็น้อย...