บรรดานักลงทุนหวั่นวิตก ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ของตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ร่วงถึง 1,175 จุด หนักสุดในรอบกว่า 6 ปี เมื่อวันจันทร์ที่ 5 ก.พ. 

เมื่อ 6 ก.พ.61 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานบรรดานักลงทุนจับตาด้วยความกังวล ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ของตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ดิ่งเหว ร่วงหนักสุดในรอบกว่า 6 ปี ร่วงลงไปถึง 1,175 จุด หรือ 4.6% ปิดตลาดอยู่ที่ 24,345.75 เมื่อวันจันทร์ที่ 5 ก.พ. ตามเวลาท้องถิ่น จนถึงกับเรียกว่าเป็น ‘วันจันทร์ทมิฬ หรือ ‘Black Monday’ (แบล็ก มันเดย์) เพราะถือเป็นการร่วงหนักสุดของดัชนีหุ้นดาวโจนส์ นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554

บีบีซี ชี้ว่า สาเหตุที่ทำให้ดัชนีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เริ่มร่วงมาตั้งแต่วันศุกร์ที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา ก่อนจะดิ่งเหวร่วงลงไปถึง 1,175 จุด เมื่อวันจันทร์ที่ 5 ก.พ. เป็นเพราะนักลงทุนมีความกังวลว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น อีกทั้งนักลงทุนกำลังมีปฏิกิริยาต่อการเปลี่ยนมุมมองต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกด้วย ขณะที่นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายหนึ่งยังชี้ถึงสาเหตุที่ทำให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ว่า เป็นเพราะนักลงทุนพากันเทขายหุ้นเพื่อนำเงินสดไปลงทุนในพันธบัตร ซึ่งได้รับดอกเบี้ยสูงกว่า

...



อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามจะออกมาระงับความวิตกกังวลของบรรดานักลงทุนต่อการที่หุ้นดาวโจนส์ร่วงหนัก โดยซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาวชี้ว่า ขณะนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำลังโฟกัสมุ่งไปที่ความแข็งแกร่งเป็นพิเศษของปัจจัยพื้นฐานทางเศรษกิจ ทั้งนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา นายเจอโรม พาวเลล์ อดีตนายธนาคารการลงทุน ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ คนใหม่ ซึ่งเป็นคนที่ 16 สืบต่อจากนางเจเน็ต เยลเลน.