อสส. สั่งฟ้อง "ทนายตั้ม-เมีย" และพวก ร่วมกันฉ้อโกง ฟอกเงิน กรณีหลอก "เจ๊อ้อย" ลงทุนทำแอปฯ หวย ซื้อรถเบนซ์ กระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ
วันที่ 30 ม.ค. 68 นายกุญช์ฐาน์ ทัดทูน รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม จำนวน 2 สำนวน เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 68 ที่ผ่านมานั้น เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ ถือเป็นคดีสำคัญตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด จึงได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานร่วมกันพิจารณา บัดนี้สำนักงานคดีพิเศษได้พิจารณาสำนวนดังกล่าวและมีคำสั่งดังนี้
สำนวนคดีที่ 1 คดีระหว่าง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ที่ 1, พ.ต.ต.สันติชัย ศรีสวัสดิ์ ที่ 2 ผู้กล่าวหา กับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ผู้ต้องหาที่ 1, น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ ผู้ต้องหาที่ 2 ฐานฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน
พนักงานอัยการสั่งฟ้อง นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ผู้ต้องหาที่ 1 ฐานฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 9 วรรคสองและมาตรา 60
สั่งฟ้อง น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ ผู้ต้องหาที่ 2 ฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3(18), 5, 9 วรรคสอง และมาตรา 60
...
สำหรับสำนวนคดีที่ 2 คดีระหว่าง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ กับพวกรวม 4 คน ผู้กล่าวหา นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ผู้ต้องหาที่ 1, นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ผู้ต้องหาที่ 2, นายนุวัฒน์ ยงยุทธ ผู้ต้องหาที่ 3, น.ส.สารินี นุชนารถ ผู้ต้องหาที่ 4, น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ ผู้ต้องหาที่ 5, น.ส.แก้วสวรรค์ สุขผล ผู้ต้องหาที่ 6 และ น.ส.มนันพัทธ์ รามธีรพัฒน์ ผู้ต้องหาที่ 7 ฐานฉ้อโกง, ร่วมกันฉ้อโกง, โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม, ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ, รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ร่วมกันแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน เหตุเกิดระหว่างวันที่ 16 ก.พ. 66 ถึงวันที่ 6 ก.พ. 67 ในหลายท้องที่ในราชอาณาจักร และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ประเทศจีน และประเทศฝรั่งเศส เกี่ยวพันกัน
สำนวนคดีนี้เป็นความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายไทย ที่ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจการสอบสวนของอัยการสูงสุด โดยอัยการสูงสุดได้มอบหมายให้พนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวน ทำการสอบสวนร่วมกับพนักงานสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งอัยการสูงสุด มีคำสั่งดังนี้
1. สั่งฟ้อง นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ผู้ต้องหาที่ 1 ฐานฉ้อโกง (กรณีหลอกให้ลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์) ฉ้อโกง โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม (กรณีหลอกลวงเพื่อให้ได้รับค่าส่วนต่างในการซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400) ร่วมกันฉ้อโกง, โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย
ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ร่วมกันแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด (กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ), สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3, 83, 84, 91, 137, 173, 264, 265, 267, 268, 341, พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(1), พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60
...
2. สั่งฟ้อง นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ผู้ต้องหาที่ 2 และ น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ ผู้ต้องหาที่ 5 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60
3. สั่งฟ้อง นายนุวัฒน์ ยงยุทธ ผู้ต้องหาที่ 3 และ น.ส.สารินี นุชนารถ ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานร่วมกันฉ้อโกง โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ร่วมกันแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น (กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ), สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 137, 173, 267, 268, 341, พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1), พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60
...
4. สั่งฟ้อง น.ส.แก้วสวรรค์ สุขผล ผู้ต้องหาที่ 6 และ น.ส.มนันพัทธ์ รามธีรพัฒน์ ผู้ต้องหาที่ 7 (ทั้งคู่เป็นพนักงานขายรถเบนซ์) ฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 264, 265
5. ขอศาลสั่งให้ผู้ต้องหาที่ 1 คืนหรือชดใช้เงิน จำนวน 72,597,764.70 บาท แก่ผู้เสียหาย กรณีหลอกให้ลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์ และกรณีหลอกลวงเพื่อให้ได้รับค่าส่วนต่างในการซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 และขอศาลสั่งให้ผู้ต้องหาที่ 1, ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันคืนหรือชดใช้เงินอีก จำนวน 39,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยในวันนี้ผู้ต้องหาที่ 6, 7 พร้อมทนายเดินทางมาฟังคำสั่งทางพนักงานอัยการคดีพิเศษ นำตัวไปฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญาแล้ว ในส่วนผู้ต้องหารายอื่นอยู่ในอำนาจคุมตัวของศาลทั้งในส่วนที่ได้ประกันและไม่ได้ประกัน เมื่อทางศาลอาญาได้รับคำฟ้องก็จะมีหมายเรียกหรือเบิกตัวจำเลยมาอ่านคำฟ้องอัยการโจทก์ให้ทราบและสอบคำให้การต่อไป
ต่อมาในช่วงบ่ายพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 ได้นำสำนวนมายื่นฟ้อง นายษิทรากับพวก รวม 7 คนเป็นจำเลยต่อศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก โดยศาลอาญารับฟ้องคดีไว้พิจารณา เป็นคดี อทย.109/2568 และนัดสอบคำให้การจำเลยทั้ง 7 คน ในวันที่ 7 ก.พ.นี้ เวลา 09.00 น.
ล่าสุด มีรายงานว่า ญาติของจำเลยที่ 6-7 ซึ่งเป็นพนักงานขายรถเบนซ์ ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวพร้อมหลักทรัพย์เงินสดคนละ 1 แสนบาท ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ปล่อยชั่วคราว จำเลยที่ 6-7 ตีหลักทรัพย์คนละ 1 แสนบาท