อยุธยา-ยายวัย 71 ปี พลาดท่าเสียทีมิจฉาชีพแก๊ง 18 มงกุฎ หลอกขายลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 โอดโดนพูดหวานล้อม อะไรก็เชื่อไปหมด ประกอบกับเคยไปดูดวง พระก็ทักจะได้จับเงินล้าน ยิ่งปักใจเชื่อว่าจะเป็นลาภลอย สุดท้ายสูญเงิน 4.3 แสน ล่าสุดตำรวจ สภ.นครหลวง จับผู้ร่วมขบวนการได้แล้ว 1 ราย ยังให้การปฏิเสธ
จากกรณี นางสาวสมพงษ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 71 ปี เล่าว่าเหตุการณ์ถูกมิจฉาชีพหลอกขายลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดเมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา ตนถูกคนร้ายหลอกขายลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ปลอมให้ในราคา 430,000 บาท โดยผู้ก่อเหตุมีทั้งหมด 3 คน ผู้ชาย 2 คน ผู้หญิง 1 คน โดยใช้รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า วีออส สีดำ ติดแผ่นป้ายทะเบียนปลอม
นางสาวสมพงษ์ เล่าว่า ต่อมาวันที่เกิดเหตุตนเองกำลังยืนอยู่ที่ทุ่งนา บริเวณหมู่ 1 ต.แม่ลา อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นมีชาย 1 คน อ้างตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่เกษตร อยู่ประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขามาพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดิน โดยมีผู้หญิงอีกคนแสดงตัวเป็นเลขา ต่อมามีหน้าม้าอ้างตนเป็นคนต่างด้าว มาเสนอขายถุงมือการเกษตรกับตนเอง และได้ทำลอตเตอรี่ตก คนร้ายที่อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่เกษตร จึงได้หยิบขึ้นมาดูและบอกกับตนเองว่า ลอตเตอรี่ดังกล่าวถูกรางวัลที่ 1 งวดประจำวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 หมายเลข 187221 ได้เงินรางวัล 6 ล้านบาท จากนั้นก็หยิบลอตเตอรี่เอามาให้ตนเองดู ซึ่งตนเองก็ดูแล้วว่าเป็นรางวัลที่หนึ่งจริง
จากนั้นทั้ง 3 คน จึงได้เล่นละครหลอกตน ว่าจะร่วมกันซื้อและไปขึ้นรางวัลร่วมกัน แต่ต้องออกเงินให้ต่างด้าวไปก่อน 1 ล้าน โดยชายที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่เกษตรจังหวัด จึงถามว่าตนเองมีเงินหรือเปล่าให้ออกไปก่อน และจะมอบลอตเตอรี่ที่เป็นรางวัลที่หนึ่งไว้ให้กับตนเอง และจะไปขึ้นเงินกันในวันรุ่งขึ้น เงินที่ได้มาจะหาร 3
...
จากนั้นก็ไปนำสมุดบัญชีธนาคารจากบ้าน และนั่งรถกันไป 4 คน เพื่อไปถอนเงินสดที่ธนาคารออมสิน สาขาคลองสวนพลู จ.พระนครศรีอยุธยา โดยชายคนดังกล่าวจอดรถให้ตนเองเดินลงไปเบิกเงิน เมื่อถอนเงินมาแล้วก็มอบให้แก๊ง 18 มงกุฎ ก็นำลอตเตอรี่ปลอมมัดใส่ถุงอย่างแน่นหนาให้ตนเองเก็บไว้ จากนั้นก็พาไปส่งที่ทุ่งนา แล้วขี่รถหลบหนีไป
จากนั้นตนเองก็กลับมาเปิดถุงเพื่อดูลอตเตอรี่ ก็พบว่าลอตเตอรี่ใบที่ได้มาเป็นเลข 174360 ไม่ใช่ใบเดียวกันกับที่แก๊ง 18 มงกุฎให้ดู ตนเองจึงแน่ใจว่าถูกหลอก
นางสาวสมพงษ์ยังบอกอีกว่า ตนเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไปหลงเชื่อแก๊ง 18 มงกุฎ ซึ่งมิจฉาชีพพูดหวานล้อม อะไรตนเองก็เชื่อไปหมดประกอบกับตนเองเคยไปดูดวง ซึ่งมีพระทักมาว่าตนเองจะได้จับเงินล้าน ตนเองก็ยิ่งปักใจเชื่อว่าจะเป็นลาภลอย จึงหลงเชื่อไปเบิกเงินธนาคารออกมาให้แก๊งมิจฉาชีพ 4.3 แสนบาท ซึ่งเกือบหมดตัว จึงไปแจ้งความลงบันทึกไว้ที่ สภ.นครหลวง
ต่อมา พ.ต.อ.ชาณภาค สุวรรณชื่น ผกก.สภ.นครหลวง สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.นครหลวง ร่วมกันทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับกลุ่มคนร้าย ที่ก่อเหตุร่วมกันฉ้อโกงขายลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ให้แก่ประชาชนในหลายเขตพื้นที่
จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.นครหลวง จึงได้สืบสวนหาข่าวจนทราบว่า 1 ในคนร้าย และเป็นเจ้าของรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า วีออส สีดำ ทะเบียนรถจริงคือ กพ 9838 นครสวรรค์ คือนายพิสัยสิทธิ์ พิญญะเดช อายุ 63 ปี ชาว จ.นครสวรรค์ จากนั้นได้นำภาพถ่ายของนายพิสัยสิทธิ์ฯ ไปให้ผู้เสียหายดูได้ยืนยันว่าคือคนร้ายที่อ้างตัวเป็นเกษตรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงได้รวบรวมหลักฐานออกหมายจับนายพิสัยสิทธิ์ พิญญะเดช
ต่อมาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2568 ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้อนุมัติหมายจับศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่ จ.6/2568 ให้จับกุมตัวนายพิสัยสิทธิ์ พิญญะเดช ในข้อหา ร่วมกันฉ้อโกง ปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม
จนกระทั่งวันที่ 7 ม.ค. 68 เวลาประมาณ 08.10 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.นครหลวง เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดกวดขันวินัยจราจร สภ.พรหมบุรี และ กก.สส.ภ.จว.สิงห์บุรี ร่วมกันจับกุมตัวนายพิสัยสิทธิ์ พิญญะเดช (ผู้ต้องหาตามหมายจับ) ได้พร้อมกับรถยนต์คันดังกล่าว โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง และรายงานผลการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวน 4 ฉบับ ที่บริเวณจุดกวดขันวินัยจราจรสถานีตำรวจภูธรพรหมบุรี (ถนนสายเอเชีย) ม.3 ต.พรหมบุรี อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี
เบื้องต้นนายพิสัยสิทธิ์ฯ (ผู้ต้องหา) ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.นครหลวง จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมทั้งของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.นครหลวง เพื่อดำเนินคดีและขยายผลหาผู้ร่วมกระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากการตรวจสอบเป็นผู้มีหมายจับศาลแขวงจังหวัดลำปางที่ 3/2567 ลงวันที่ 8 ม.ค. 2567 ให้จับกุมตัวนายพิสัยสิทธิ์ พิญญะเดช ในฐานกระทำความผิด ร่วมกันฉ้อโกง
จากการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมพบว่านายพิสัยสิทธิ์ พิญญะเดช มีประวัติดังนี้
...
1. ปี 2567 สภ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น”
2. ปี 2559 สภ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “1) ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น 2) ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น 3) ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น”
3. ปี 2559 สภ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกง
4. ปี 2557 สภ.วังทอง จ.พิษณุโลก ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง”
5. ปี 2557 สภ.เมืองกำแพงเพชร จ.กำแพงเพชร ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง”
6. ปี 2556 สภ.เมืองกำแพงเพชร จ.กำแพงเพชร ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง”
7. ปี 2556 สภ.เมืองอุทัยธานี จ.อุทัยธานี ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ลักทรัพย์”
8. ปี 2556 สภ.เมืองอุทัยธานี จ.อุทัยธานี ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ลักทรัพย์”
9. ปี 2554 สภ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง”
...
ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ สภ.นครหลวง พบว่า นายพิสัยสิทธิ์ พิญญะเดช อายุ 63 ปี (ผู้ต้องหาตามหมายจับ) ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ยังคงถูกควบคุมตัวไว้ในห้องควบคุมผู้ต้องขัง จากนั้นพนักงานสอบสวนได้นำตัวออกมาสอบปากคำเพิ่มเติม เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน ประกอบสำนวนคดี นำตัวส่งศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในวันพรุ่งนี้ซึ่งผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธในชั้นพนักงานสอบสวน และขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น และปฏิเสธที่จะตอบคำถามผู้สื่อข่าว
ซึ่งอย่างไรก็ตามพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัวในชั้นสอบสวน เนื่องจากผู้ต้องหามีคดีติดตัวหลายคดี
ส่วนผู้ร่วมก่อเหตุอีกสองรายเจ้าหน้าที่อยู่ในขั้นตอนของขยายผลออกหาเบาะแส เนื่องจากนายพิสัยสิทธิ์ พิญญะเดช ผู้ต้องหา ไม่ให้ความร่วมมือ แต่เชื่อในพยานหลักฐานที่มีจะสามารถออกหมายจับผู้ร่วมก่อเหตุอีกสองรายได้