พ่อค้าขายผักในตลาดสดเทศบาลเมืองสุรินทร์ ร้องขอความเป็นธรรมผ่านสื่อ หลังถูกนักข่าวช่องดัง เมาแล้วขับรถชนท้าย มีการท้าแจ้งตำรวจอ้างรู้จักทั้งโรงพัก งงหนัก หลังคู่กรณีถูกเชิญตัวไปโรงพัก วัดค่าแอลกอฮอล์พุ่ง 180 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ตำรวจ สภ.เมืองสุรินทร์ ไม่มีการตั้งข้อหาใดๆ แถมปล่อยตัวกลับบ้าน
เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2567 ผู้สื่อข่าวได้รับคลิปภาพจากนายวิทยา ภูมรี (ผู้เสียหาย) มีบ้านพักอาศัยเลขที่ 333/32 หมู่ที่ 3 ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นพ่อค้าขายผักสดในตลาดสดเทศบาลเมืองสุรินทร์ เพื่อร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสุรินทร์ เพราะคู่กรณีเป็นผู้สื่อข่าวช่องหนึ่ง ประจำจังหวัดสุรินทร์
ซึ่งคลิปดังกล่าวเป็นภาพที่ผู้สื่อข่าวช่องหนึ่ง ได้เมาสุราขับรถยนต์เก๋งยี่ห้อ Honda สีเทาเงิน หมายเลขทะเบียน กน-9812 สุรินทร์ คนขับทราบชื่อ นายธนากร มณีศรี (ผู้ก่อเหตุ) มีบ้านพักอาศัยเลขที่ 143 หมู่ที่ 5 ต.นาดี อ.เมือง จ.สุรินทร์ และได้เคยตกเป็นข่าวบุกรุกบ้านแหล่งข่าวและขับรถเฉี่ยวชนแหล่งข่าว ซึ่งยังอยู่ในการดำเนินคดียังไม่เสร็จสิ้น
โดยนายธนากร ได้ขับรถชนท้ายรถยนต์ฟอร์ด เอเวอเรสต์ สีขาว หมายเลขทะเบียน 3 ขว-7458 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นของนายวิทยา ภูมรี (ผู้เสียหาย) จึงได้โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดย พ.ต.ท.สหภาพ จันทหง่อม สว.สอบสวน สภ.เมืองสุรินทร์ เป็นเจ้าของคดี
ซึ่งคลิปภาพเหตุการณ์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 67 เวลา 23.30 น. จะเห็นว่า นายธนากร (ผู้ก่อเหตุ) สวมเสื้อยืดสีดำ มีตราโลโก้สำนักข่าวช่องหนึ่ง มากับผู้หญิง พร้อมกับได้มีเสียงตะโกนจากผู้หญิงที่นั่งมากับนายธนากร (ผู้ก่อเหตุ) ว่าแจ้งตำรวจเลยเพราะรู้จักทุกคน ซึ่งทางนายธนากร (ผู้ก่อเหตุ) ยืนเฉยไม่ค่อยพูด ทางนายวิทยา (ผู้เสียหาย) และลูกจ้าง ได้ถามว่า “พี่เมามาหรือเปล่า เมาแล้วทำไมขับรถมาชนแล้วไม่ยอมรับผิดและไม่ยอมขอโทษ” มีแต่พูดในทางว่า ข้าใหญ่รู้จักตำรวจทั้งโรงพัก
...
จากนั้น พ.ต.ท.สหภาพ จันทหง่อม สว.สอบสวน สภ.เมืองสุรินทร์ มาถึงที่เกิดเหตุ ได้บันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน พร้อมกับเชิญตัวนายธนากร (ผู้ก่อเหตุ) มาที่ สภ.เมืองสุรินทร์ และเป่าวัดค่าแอลกอฮอล์วัดได้กว่า 180 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีประกันชั้น 1 ของนายวิทยา (ผู้เสียหาย) อยู่ด้วย โดยหลังจากวัดค่าแอลกอฮอล์เสร็จสิ้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปล่อยตัวนายธนากร (ผู้ก่อเหตุ) ไปโดยไม่มีการดำเนินคดีแต่อย่างใด จึงเป็นที่กังขาของนายวิทยา (ผู้เสียหาย) เป็นอย่างมาก ซึ่งคดีรถชนท้ายก็คดีหนึ่ง แต่คดีเมาแล้วขับปล่อยตัวออกมาได้หรือไม่ เป็นที่น่าสงสัยเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่มีการตั้งข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย และขับรถในขณะเมาสุราอีกด้วย
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปสอบถาม พ.ต.ท.สหภาพ จันทหง่อม สว.สอบสวน สภ.เมืองสุรินทร์ ซึ่งเป็นเจ้าของคดีนี้ ได้ให้คำตอบว่า รอให้คู่กรณีกับผู้เสียหายได้เจรจากันก่อน ถ้าคุยกันตกลงกันไม่ได้ ก็ค่อยดำเนินคดี ตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งข้อหาอะไร ส่วนเรื่องเมาแล้วขับต้องขึ้นศาลยุ่งยาก จึงอยากให้คุยกันก่อน ตนอยากให้ทางผู้เสียหายได้เงินชดใช้ค่าเสียหาย
นายวิทยา ภูมรี (ผู้เสียหาย) เล่าว่า วันเกิดเหตุเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 67 เวลา 23.30 น. ตนได้มาจอดรถไว้ที่หน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่จอดรถ เพื่อจะเข้าไปขายผักที่ร้านตามปกติ เช่นทุกวัน จากนั้นก็มีรถเก๋งคันดังกล่าวขับมาเฉี่ยวชนรถตนที่จอดอยู่ ลูกน้องตนได้รีบเข้ามาบอก ตนจึงออกไปดู ก็พบว่ามีชายเป็นคนขับมากับผู้หญิงอีกคนเป็นผู้โดยสาร สักพักใหญ่คนขับจึงลงมา ตนจึงถามว่า พี่เมาหรือ ชายคนขับจึงบอกว่า เมา ตนสังเกตชายคนดังกล่าวมีอาการเมามาก พูดจาไม่รู้เรื่อง และพูดจาไม่ดี ตนจึงบอกถ้าพี่ไม่คุยผมแจ้งตำรวจนะ ชายคนดังกล่าวบอก แจ้งเลย ผมรู้จักตำรวจทั้งโรงพักเรียกมาเลย
หลังจากนั้นตำรวจก็มา และพาตัวชายคนดังกล่าวไป สภ.เมืองสุรินทร์ ตนจึงได้เรียกประกันรถของตนมา และประกันได้ตามไปที่ สภ.เมืองสุรินทร์ พร้อมกับได้ตรวจวัดค่าแอลกอฮอล์ชายคนดังกล่าว ซึ่งวัดได้ 180 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จนตนมาทราบอีกครั้งว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ดำเนินคดีเมาแล้วขับกับชายคนดังกล่าว และยังไม่ตั้งข้อหาใดๆ และปล่อยตัวไป
จนตอนนี้ตนก็ยังไม่ได้รับการติดต่อจากคู่กรณีเลย ทางประกันโทรไปก็ไม่รับสาย ตนสงสัยในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ทำไมถึงปล่อยตัวคนเมาแล้วขับกลับบ้านได้ โดยไม่ต้องมีการประกันตัวหรือดำเนินคดี ถ้าเป็นชาวบ้านคงนอนในห้องขังไปแล้ว หรือเป็นจริงอย่างชายคนดังกล่าว กล่าวอ้างว่ารู้จักสนิทสนมกับตำรวจจริงๆ จึงไม่มีการดำเนินคดี แล้วแบบนี้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ มาตรา 157 ซึ่งตนก็คิดว่ากลัวจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะคู่กรณีตนเป็นนักข่าวช่องดัง ซึ่งเป็นคนละคดีกัน ด้านชนรถตนนั้นก็อีกคดี ส่วนเมาแล้วขับก็อีกคดี ซึ่งตนนั้นไม่ติดใจเรื่องรถโดนชนเท่าไหร่ แต่ตนติดใจที่ผู้ก่อเหตุไม่เคยพูดขอโทษสักคำ มีแต่คำพูดใหญ่โตที่พูดใส่ตนอีกด้วย