ศาลฯยืนโทษประหาร "บรรยิน ตั้งภากรณ์" อุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา ชี้จำนนต่อหลักฐาน ไม่มีเหตุลดโทษ จำเลยที่ 2 คุก 33 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลย 3-6 จำคุกตลอดชีวิต 

เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 67 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ ที่ 1 กับพวกรวม 6 คน เป็นจำเลย กรณีใช้กำลังประทุษร้ายเอาตัว นาย ว. ผู้ตาย พี่ชายของ นางสาว พ. ผู้เสียหาย (ผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้) ไปหน่วงเหนี่ยวกักขัง และใช้ความปลอดภัยในชีวิตของนาย ว. เป็นข้อต่อรองเรียกค่าไถ่ เพื่อข่มขืนใจผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่

คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ประหารชีวิต พ.ต.ท.บรรยิน ส่วนจำเลยอื่นจำคุกตามลำดับต่างกันไป จำเลยฎีกาศาลฯพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 รับในฎีกาว่าไม่พอใจโจทก์ร่วมอย่างรุนแรง โดยเชื่อว่าโจทก์ร่วมไม่เป็นกลาง จึงทึกทักคือเหมาเอาเป็นจริงเป็นจังว่า ถูกโจทก์ร่วมกลั่นแกล้ง จำเลยที่ 1 ได้ตัดสินใจกระทำการแก้แค้นโจทก์ร่วมแต่เปลี่ยนใจไปลักพาตัว นาย ว. ผู้ตายไปแทน แล้ววางแผนให้จำเลยที่ 2-3 สะกดรอยติดตามโจทก์ร่วมกับผู้ตาย จนทราบที่พักประสงค์จะลักพาตัวผู้ตายไป เพื่อต่อรองให้โจทก์ร่วมพิพากษาคดีดังกล่าว เป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ 1

ส่วนจำเลยที่ 4-6 ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 บอกจำเลยที่ 6 ให้ส่งจำเลยที่ 4-5 ลูกน้องของจำเลยที่ 6 ไปช่วยงานทวงหนี้ หลังเกิดเหตุจำเลยที่ 6 มอบเงินค่าตอบแทนการทำงานให้จำเลยที่ 4-5 คนละ 50,000 บาท และนำเสื้อผ้าที่จำเลยที่ 4-5 สวมใส่ในวันเกิดเหตุไปเผาทำลายหลักฐาน พฤติการณ์เหล่านี้ของจำเลยทั้งหกย่อมเป็นอันรู้กันในกลุ่มจำเลยทั้งหกเป็นอย่างดีว่า การไปทวงหนี้มีความหมายถึงการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายแก่บุคคลอื่น ตั้งแต่การบังคับข่มขู่ อุ้มหายไปจนถึงการฆ่าเผานั่งยาง เพื่อทำลายพยานหลักฐาน

...

เมื่อจำเลยที่ 4-6 รับรู้ความประสงค์ของจำเลยที่ 1 และที่ 6 มอบหมายให้จำเลยที่ 4-5 ไปช่วยกันลักพาผู้ตายโดยใช้รถยนต์คันก่อเหตุ จำเลยที่ 4-6 ย่อมเล็งเห็นได้ว่า แม้จะสวมกุญแจมือผู้ตายไขว้หลัง ใช้เทปกาวปิดปาก ใช้ถุงดำคลุมศีรษะแล้ว ผู้ตายต้องดิ้นรนต่อสู้ขัดขืน เมื่อจำเลยที่ 3 ทำร้ายผู้ตายชกบริเวณท้อง ลิ้นปี่ และชายโครงผู้ตายหลายครั้ง หรือแม้เพียงครั้งเดียวจนผู้ตายนิ่งไป ซึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 3 ชกผู้ตายบริเวณท้องซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญโดยแรง ขณะผู้ตายถูกจำเลยที่ 5 ใช้เทปกาวปิดปากและนำถุงผ้าคลุมศีรษะตกอยู่ในสภาพที่หายใจไม่สะดวก ดังนี้ พฤติการณ์เยี่ยงจำเลยที่ 4-6 ย่อมคาดหมายได้ล่วงหน้าว่า จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว และอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ นอกจากนี้ อุปกรณ์ที่จำเลยที่ 1 เตรียมไปในการลักพาตัว เช่น กุญแจมือ ถุงผ้า เพื่อคลุมศีรษะส่อแสดงว่าจำเลยที่ 1, ที่ 3-6 รู้อยู่แล้วว่าผู้ตายจะต้องขัดขืนไม่ให้การนำตัวไปโดยง่าย เมื่อผู้ตายขัดขืนใช้กำลังบังคับหรือประทุษร้ายผู้ตาย เพื่อให้ผู้ตายยินยอมให้จำเลยที่ 1 เอาตัวผู้ตายไป และแม้ชกเพียงครั้งเดียว อาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้

เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยที่ 1 และที่ 3 ก็นำผู้ตายไปเผาในสถานที่ที่เตรียมไว้สมดังเจตนาของจำเลยที่ 1 การตายของผู้ตายจึงเกิดจากการถูกจำเลยที่ 3 ชกที่ท้องอย่างรุนแรง มีผลถึงตายอันเป็นผลธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้จากการทำร้ายด้วยเจตนาฆ่าและเป็นผลโดยตรง การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3

จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และจำเลยที่ 1 กับ 3-5 มีความผิดฐานร่วมกันกระทำผิดฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ หน่วงเหนี่ยวกักขัง เมื่อความตายของผู้ตายเป็นผลที่ตามธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้จากการทำร้าย ทำให้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3-5 ต้องรับโทษหนักขึ้น จำเลยที่ 6 ย่อมมีความผิดและต้องรับโทษหนักขึ้น ด้วยดุจกัน ดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาและวางโทษจำเลยที่ 1 และที่ 5-6 มานั้น (ประหารกับจำคุกตลอดชีวิต) เหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

คดีมีเหตุตามกฎหมายให้ลดโทษแก่จำเลยที่ 1 และที่ 3-5 หรือไม่ คดีนี้จำเลยที่ 3-5 ให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุมและสอบสวน โดยจำเลยที่ 3 นำพนักงานตำรวจและพนักงานสอบสวนไปชี้สถานที่เกิดเหตุทั้งหมด เป็นผลให้พนักงานสอบสวนแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ได้อย่างละเอียดทุกขั้นตอน ซึ่งศาลล่างทั้งสองก็นำคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 3 และรับข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 4-5 มาประกอบดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานในการรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ และโจทก์ร่วมเป็นระยะตลอดทั้งเรื่อง คำให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3-5 จึงเป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงาน และให้ความรู้แก่ศาล ศาลฎีกาเห็นสมควรลดโทษให้จำเลยที่ 3-5 ไปตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชอบแล้ว และถือเป็นเหตุลักษณะคดี จึงให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งแม้ให้การปฏิเสธก็ตาม

ส่วนจำเลยที่ 1 ให้การรับข้อเท็จจริงภายหลังจึงเป็นการรับข้อเท็จจริงเพราะจำนนต่อพยานหลักฐาน จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ประกอบกับพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 เคยรับราชการตำรวจในตำแหน่งพันตำรวจโท เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประกอบกับมีทนายความแก้ต่างให้ ย่อมทราบถึงขั้นตอนและกฎหมายวิธีพิจารณาความว่า สามารถใช้สิทธิในการอุทธรณ์และฎีกาคำพิพากษาต่อไปได้ การที่จำเลยที่ 1 ใช้วิธีการที่ผิดกฎหมายบังคับผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดี เพื่อให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ และร่วมกับพวกกระทำผิดในที่สาธารณะ โดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย จึงถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่เป็นภัยต่อสังคมโดยรวม และส่งผลกระทบกระเทือนต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง จึงสมควรลงโทษสถานหนัก

พิพากษาเป็นว่า ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2-5 ศาลลดโทษให้ โดยจำเลยที่ 2 จำคุก 33 ปี 4 เดือน, จำเลยที่ 3-6 จำคุกตลอดชีวิต.

...