นายกฯสั่งกำชับตำรวจคดีขโมยเรือน้ำมันเถื่อนต้องสาวให้ถึงตัวการใหญ่ต้องไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก “หลวงตาเต่า” เผยเรียก ผกก.นายหนึ่งมาสอบปากคำหลังพบข้อความในไลน์หลุดแชตคุยกับ “เสี่ยโจ้” ผู้บงการค้าน้ำมันเถื่อนเพื่อมาชี้แจงดูความเชื่อมโยง ผลสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 8 คน ไต้ก๋งเรือพยานปากสำคัญถือเป็นกุญแจไขคดี ด้านรอง ผบก.ป.แจงความคืบหน้าคดีจ่อออกหมายเพิ่มอีก “นายเล็ก” ผู้จัดการส่วนตัว “เสี่ยโจ้” เจ้าของเงินที่ใช้ประกันตัวลูกเรือน้ำมันเถื่อนทั้ง 28 คน และเป็นผู้สั่งการให้ลูกน้องโจรกรรมเรือทั้ง 3 ลำ โดยมีข้อมูลรับคำสั่งมาจากลูกพี่ “เสี่ยโจ้” อีกทอดหนึ่ง

กรณีเจ้าหน้าที่ติดตามยึดเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนทั้ง 3 ลำที่หายไปคืนมาได้ ได้แก่ เรือเจ.พี. บรรทุกน้ำมัน 80,000 ลิตร เรือซีฮอร์สหรือกำไลเงิน บรรทุกน้ำมัน 150,000 ลิตร และเรือดาวรุ่ง บรรทุกน้ำมัน 100,000 ลิตร หลังถูกโจรกรรมไประหว่างจอดรอเทียบท่าเพื่อดำเนินคดี บริเวณท่าเรือตำรวจน้ำ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พบเรือทั้งหมดอยู่ห่างจากพื้นที่ทะเลสงขลา 90 ไมล์ทะเล จับกุมลูกเรือได้ 8 คน หลบหนีไป 7 คน เจ้าหน้าที่นำเรือทั้งหมดไว้ที่ท่าเทียบเรือ กก.7 บก.รน. อ.เมืองสงขลา ตอนทุ่มครึ่ง วันที่ 17 มิ.ย. ตรวจสอบพบน้ำมันถูกลักลอบนำไปขายเกือบเกลี้ยง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เร่งสอบสวนขยายผล พบว่ามีเจ้าหน้าที่รู้เห็นกับขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน รวบรวมพยานหลักฐานจ่อออกหมายจับ “เสี่ยโจ้” ผู้บงการและวางแผนสั่งการให้ลูกน้องขโมยเรือเอาน้ำมันเถื่อนไปขายให้เรือขนาดใหญ่จอดคอยรับซื้อน้ำมันอยู่กลางทะเล ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว

...

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 19 มิ.ย. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. เปิดเผยความคืบหน้าหลังควบคุมตัวลูกเรือขโมยเรือน้ำมันเถื่อนทั้ง 8 คน จาก สภ.เมืองสงขลา มาสอบปากคำที่กองปราบฯ ตั้งแต่ตอนกลางคืนที่ผ่านมา ว่า ผู้ต้องหาหลายคนให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี เนื่องจากจับกุมได้พร้อมเรือของกลาง จะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็น และไม่เกี่ยวข้องนั้นคงเป็นไปได้ยาก ส่วนจะโยงไปถึงเสี่ย จ. ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ คาดว่าไม่เกินสัปดาห์หน้ามีความกระจ่างในหลายเรื่อง รวมถึงจะออกหมายจับตัวการใหญ่ พยานหลักฐานเชื่อมโยงถึง ยืนยันว่ามีมากกว่า 1 คนแน่นอน เพราะชุดสืบสวนได้ข้อมูลว่ามีหลายคนเกี่ยวข้องบ่งชี้ว่ามีการวางแผนล่วงหน้า

“ส่วนกรณีที่มีบุคคลใกล้ชิด เสี่ย จ. เปิดเผยว่า มีตำรวจเรียกรับส่วย อ้างเป็นผู้กำกับชื่อ น. ในพื้นที่เรื่องนี้คงต้องสอบถามผู้บังคับการตำรวจน้ำ เนื่องจากมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แล้ว รวมทั้งอยู่ระหว่างตรวจสอบประเด็นข้อความไลน์ที่อ้างว่าเป็นของเสี่ยโจ้คุยกับนายตำรวจอักษรย่อ “น” กองปราบปรามรับผิดชอบ 2 เรื่อง คือ การสืบสวนในคดีเดิมจับกุมเรือขนน้ำมันเถื่อนทั้ง 5 ลำ และเรือหาย รวมถึงสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม ส่วนลูกเรืออีก 7 คนที่หลบหนี ได้ข้อมูลว่าหลังจากนำน้ำมันไปส่งขายให้เรือลำหนึ่งแล้ว บางส่วนได้ขึ้นเรือลำนั้นไป กำลังตรวจสอบว่าหนีไปไหน หากหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้านจะออกหมายแดงของตำรวจสากล เพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดี” พ.ต.อ.เอนกกล่าว

พ.ต.อ.เอนกกล่าวต่อว่า จากการสอบปากคำไต้ก๋งเรือให้ข้อมูลสำคัญเชื่อมโยงไปถึงตัวผู้บงการ มีคนสั่งการแน่นอน วางแผนกันเป็นอย่างดี ฝ่ายสืบสวนนำข้อมูลโทรศัพท์ไต้ก๋งและลูกเรือทั้งหมดไปตรวจสอบแล้ว พูดคุยกับใคร โยงไปถึง “เสี่ยโจ้ ปัตตานี” ได้หรือไม่ อยู่ในสำนวนเตรียมขยายขออนุมัติศาลออกหมายจับลูกเรือทั้ง 15 คนที่ร่วมกันก่อเหตุขโมยเรือของกลาง 3 ลำ แจ้งข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยร่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ส่วนลูกเรือน้ำมันเถื่อนที่เหลือ 14 คนไม่ได้หลบหนี แจ้งข้อหาร่วมกันทำให้ทรัพย์สินของเจ้าพนักงานของรัฐสูญหาย (ม.142) และอีก 1 คนที่เป็นลูกเรือใหม่ แจ้งข้อหาช่วยเหลือผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง (ม.184) พบหลักฐานเป็นคนไปซื้อเสบียงขับใส่รถซาเล้งมาส่งขึ้นเรือ ผู้ต้องหาทั้ง 8 คน วันที่ 20 มิ.ย. นำไปฝากขังที่ศาลอาญาผัดแรก

ต่อมา เวลา 11.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กล่าวว่า กรณีที่สื่อมวลชนสงสัยว่า นายเล็กคือใคร มีตัวตนหรือไม่ ยืนยันว่ามีตัวตนจริง เป็นผู้จัดการส่วนตัวของเสี่ยโจ้ ปัตตานี และเป็นคนไทย ช่วงที่มีการจับกุมเมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา นายเล็กพยายามเข้าหาเจ้าหน้าที่ เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เจ้าหน้าที่ปฏิเสธไม่ยินยอม จากการตรวจสอบคำให้การและทางเทคนิค เชื่อว่านายเล็กเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเหตุการณ์เรือหาย เป็นเจ้าของเงินที่ใช้ประกันตัวลูกเรือทั้ง 28 คน น่าจะได้รับคำสั่งจากเสี่ยโจ้อีกทอดหนึ่ง จากการสอบปากคำลูกเรือทั้ง 8 คน ไต้ก๋งเรือเป็นพยานปากสำคัญให้แสงสว่างการไขคดี

พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวด้วยว่า คดีขโมยเรือของกลางทั้ง 3 ลำ เหมือนตบหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เราต้องดำเนินการกับบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างเด็ดขาด ตำรวจที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องต้องรับสิ่งที่ตามมาให้ได้ ก่อนหน้านี้สุขสบายนั่งอยู่บนกองเงินกองทองไม่ว่ากัน เมื่อถึงเวลากรรมตามสนองต้องยอมรับสภาพให้ได้ พื้นที่ทางทะเลถือเป็นแดนสนธยาที่มีผลประโยชน์เข้าไปเกี่ยวข้องมากมาย การตรวจสอบไม่ถึงเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ บนบกเราสามารถตรวจสอบได้มากกว่า ส่วนกรณีแชตไลน์เสี่ยโจ้กับตำรวจบางนายหลุด เบื้องต้นเชื่อว่าจริงแต่ขอเวลาทำงานก่อนมีความชัดเจนในเรื่องนี้แน่นอน ผู้กำกับอักษรย่อ น. เตรียมเรียกตัวสอบปากคำในประเด็นดังกล่าวแล้ว

...

ด้าน พ.ต.อ.ชัชวาล ชูชัยเจริญ ผกก.2 บก.ปอศ. กล่าวถึงกรณีที่มีความเห็นจากพนักงานอัยการสูงสุดคดียึดเรือน้ำมันเถื่อนอาจทำได้ยาก เพราะจุดจับกุมเป็นพื้นที่นอกราชอาณาจักรในเขตเศรษฐกิจจำเพาะว่า จุดที่จับกุมเป็นพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะอยู่ห่างออกจากเส้นฐาน 80 ไมล์ทะเล หากอยู่ในพื้นที่น่านน้ำไทยจะห่างเพียง 12 ไมล์ทะเล ถือเป็นคดีนอกราชอาณาจักร เพราะฉะนั้นอำนาจในการสอบสวนดำเนินคดีเป็นของพนักงานอัยการสูงสุด และตำรวจเข้าไปสอบสวนร่วมด้วย การจับกุมเมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา พบการกระทำความผิด 2 จุด ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะ จุดแรกประกอบด้วย เรือเจ.พี เรือโชคบุญชู และเรือกำไลเงินเหล็ก เจ้าหน้าที่พบน้ำมันเถื่อนในเรือเจ.พี โดยมีเรืออีกสองลำขนาบข้าง ส่วนจุดที่ 2 เรือดาวรุ่ง และเรือกำไลเงินพบน้ำมันเถื่อนอยู่ในเรือ สำหรับเรือเจ.พี เรือดาวรุ่ง และเรือกำไลเงิน คนสั่งการเป็นคนเดียวกันทราบภายหลังว่า นายเล็ก ยังไม่มีข้อมูลชื่อจริงและรายละเอียดที่ชัดเจน เป็นคนที่บงการให้ลูกเรือลักเรือหลบหนี ส่วนเรือที่เหลือ 2 ลำ ผู้สั่งการอีกกลุ่มหนึ่ง

“ทั้งนี้ข้อมูลจากผู้กล่าวหา คือ ชุดสืบสวนคดีน้ำมันเถื่อนที่เคยจับกุมขบวนการน้ำมันเถื่อนก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง ผู้ต้องหาให้การว่าซื้อน้ำมันเถื่อนจากจุดซื้อขายน้ำมันเถื่อนเป็นพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ เจ้าหน้าที่ได้ไปตรวจสอบจุดดังกล่าวพบการกระทำความผิด ทำให้มั่นใจว่าการสืบสวนมีหลักฐานนำเข้ามาประกอบในสำนวนค่อนข้างชัดเจน เจ้าหน้าที่ไปปรึกษากับพนักงานอัยการสูงสุดแล้ว อัยการแนะนำให้ไปสอบปากคำหน่วยงานเพิ่มเติม หมายความว่าตอนนี้ข้อมูลค่อนข้างสมบูรณ์จะเร่งทำสำนวนให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน” พ.ต.อ.ชัชวาลกล่าว

พ.ต.อ.ชัชวาลกล่าวด้วยว่า เรือน้ำมันเถื่อนทั้ง 5 ลำ เป็นเรือไทย 1 ลำ มีทะเบียนถูกต้องรู้ตัวเจ้าของเรือแล้ว ที่เหลือเรือเถื่อนทั้งหมด เรือกำไลเงินเหล็ก กับ เรือเจ.พี มีข้อมูลว่า ขายให้ชาวมาเลเซีย เมื่อขายให้ชาวต่างชาติเจ้าหน้าที่ถึงเพิกถอนทะเบียน จากข้อมูลพบว่าชาวมาเลย์รายนี้ออกจากไทยไปตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว เรือดาวรุ่ง และเรือกำไลเงิน เป็นเรือเถื่อนไม่มีทะเบียนไม่ปรากฏชื่อว่าเป็นของใคร แนวสืบสวนรู้ตัวเจ้าของแล้ว ส่วนการตามจับกุม เสี่ยโจ้ปัตตานี และผู้ร่วมขบวนการ ตำรวจ บก.ปอศ.จะตรวจสอบเรื่องเอกสาร ส่วนการสืบสวนเป็นหน้าที่ของกองปราบฯ หาหลักฐานเส้นทางการเงิน และหลักฐานทางเทคโนโลยีเชื่อมโยงกับใครบ้าง

...

ที่อาคารรัฐสภา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีตั้งข้อสงสัยการตามล่าเรือน้ำมันเถื่อนของเจ้าหน้าที่กว่าจะจับได้น้ำมันถูกขายไปแล้วว่า ตั้งแต่ก่อนจะป่วย กำชับในเรื่องนี้ไปแล้ว วันนี้ได้เชิญ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ ผู้กำกับดูแลตรงนี้มาพบในช่วงบ่าย เพื่อกำชับอีกครั้ง เพราะเป็นเรื่องที่ไม่งาม ถามว่า ตัวการใหญ่จะเป็นขาใหญ่ที่มีอิทธิพลมาก นายกฯกล่าวว่า “ก็ตามข่าวไปครับ ก็ต้องสาวให้ถึง จะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้อย่างแน่นอน” ถามว่าตัวการใหญ่ยังอยู่ในไทยหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ตามที่ฟังจากข่าวอยู่ตามแนวชายแดน ไม่ได้อยู่ในไทย เดี๋ยวจะสอบถาม พล.ต.อ.ไกรบุญอีกครั้ง เมื่อถามว่า ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนเป็นขบวนการใหญ่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ถ้าจะทำเรื่องนี้ได้ก็ต้องใหญ่พอสมควร ต้องจ่ายพอสมควร ถามว่าเจ้าหน้าที่ไม่สมควรเข้าไปมีส่วนพัวพันใช่หรือไม่ นายกฯตอบว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายด้วย โดยเฉพาะคนที่ถูกกล่าวหา แต่ถ้าเกิดมีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องต้องถูกลงโทษ

ต่อมาเวลา 13.40 น. ที่อาคารรัฐสภา พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล ผกก.2 บก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. และตำรวจสอบสวนกลาง เดินทางเข้าพบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เพื่อรายงานความคืบหน้าการสอบสวนขยายผลคดีเรือน้ำมันเถื่อน 3 ลำ จากนั้นเวลา 16.20 น. นายเศรษฐากล่าวว่า สั่งการไปว่าให้ไปดูให้ดี เมื่อถามว่า ส่งรายงานผลสอบเจ้าหน้าที่มาแล้วหรือยัง นายกฯ ตอบว่า ยังแต่ยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ต้องเอาให้ถึงที่สุด

มีรายงาน พ.ต.อ.ปรเมษฐ โพยนอก ผกก.7 บก.รน. พร้อมด้วยศูนย์ปราบปรามน้ำมันเถื่อน เจ้าหน้าที่สรรพสามิต เจ้าหน้าที่ศุลกากร และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน 9 ร่วมกันตรวจสอบปริมาณน้ำมันเถื่อนในเรือของกลางทั้ง 3 ลำ ที่จอดไว้ที่ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำ จ.สงขลา พบว่าเรือกำไรเงิน เหลือน้ำมันประมาณ 1,300 ลิตร เรือเจ.พี เหลือน้ำมันประมาณ 3,600 ลิตร และเรือดาวรุ่ง ไม่สามารถตรวจวัดได้สูบไม่ขึ้นเพราะเหลือติดแค่ก้นถัง

...

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่