รองอธิบดีกรมพินิจฯนำหมายปล่อยเยาวชนวัย 14 ก่อคดียิงกราดในพารากอนมาแสดงต่อแพทย์ผู้ตรวจรักษาและผู้ปกครอง ที่สถาบันกัลยาณ์ฯ เหตุหมดอำนาจควบคุมตัวเด็ก ด้านโฆษก อสส.เผย แพทย์ลงความเห็นว่ายังป่วยจิตเวช ต้องรักษาต่อเนื่องจนกว่าจะหายโดยยังไม่กำหนดกรอบเวลารักษา เพื่อป้องกันอันตรายของเด็กที่อาจก่อกับสังคม และต้องหาสาเหตุการก่อเหตุตามหลักนิติจิตเวช ด้าน บช.น.ร่อนเอกสารแจงน้อมรับความเห็นอัยการ และจะติดตามความเห็นจากจิตแพทย์อย่างใกล้ชิด ทันทีที่ได้รับรายงานว่าสามารถต่อสู้คดีได้จะนำส่งอัยการฟ้องร้องดำเนินคดีอีกครั้ง

กรณีเยาวชนชายวัย 14 ปี ใช้ปืนกราดยิงประชาชน ที่ห้างสยามพารากอนจนมีผู้เสียชีวิต 3 ศพ บาดเจ็บอีกหลายคน เมื่อวันที่ 3 ต.ค.66 ต่อมาสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีเยาวชนและครอบครัว 3 ได้คืนสำนวนให้พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ดำเนินการ ให้ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากส่งสำนวนสั่งฟ้องผู้ต้องหาซึ่งเป็นเด็กไม่ได้รอผลการวินิจฉัยจากแพทย์สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ก่อนจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14 มาตรา 134 และพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ถือเป็นการสอบสวนผู้ต้องหาซึ่งเป็นเด็กโดยมิชอบ เมื่อผู้ต้องหาอยู่ในสภาวะหายป่วยเป็นปกติและสามารถต่อสู้คดีได้ให้สอบสวนให้เสร็จสิ้น แล้วส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพิจารณาภายในอายุความ 20 ปี ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 1 ม.ค. ที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ถนนพุทธมณฑลสาย 4 แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กทม. นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยผ่านโทรศัพท์ว่า กระบวนการของอัยการหมดหน้าที่ตั้งแต่คืนสำนวนคดีให้ตำรวจ ส่วนเรื่องการรักษาตัวเด็กผู้ก่อเหตุที่สถานพยาบาลแห่งนี้ต่อไปนั้น ได้พูดคุยกับหนึ่งในคณะสหวิชาชีพผู้ร่วมรักษาเด็กระบุว่า แพทย์ลงความเห็นว่าเด็กยังมีอาการป่วยจิตเวช ต้องรักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหาย เพื่อป้องกันอันตรายของเด็กที่อาจก่อกับสังคม และต้องหาสาเหตุการก่อเหตุครั้งนี้เป็นไปตามหลักนิติจิตเวช แพทย์ยืนยันว่าจะต้องแจ้งผู้ปกครองถึงเงื่อนไขเหล่านี้ หากไม่ได้รับความร่วมมือ เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องใช้ มาตรการตามกฎหมาย เนื่องจากการรับการรักษา ต่อนั้นต้องได้รับความยิน ยอมจากผู้ป่วยและผู้ปกครองเอง ในวันนี้มีการหารือระหว่างผู้ปกครองเด็ก เจ้าหน้าที่สถานพินิจฯ แพทย์และส่วนที่เกี่ยวข้อง จะทราบผลสรุปภายในวันนี้ หากเด็กไม่เจ็บป่วยก็ต้องปล่อยตัวไป แต่เมื่อชัดเจนว่าป่วยก็ต้องรักษาตัวต่อ

...

กระทั่งเวลา 11.00 น. มีรถของเจ้าหน้าที่กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน แพทย์และผู้ปกครอง ทยอยขับรถออกจากโซนอาคารรักษาตัวของผู้ป่วยซึ่งปิดกั้นไม่ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปและไม่มีผู้ใดจอดรถลงมาให้ข้อมูล

ต่อมา น.ส.ศิริประกาย วรปรีชา รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเวลา 09.00 น.วันนี้ได้นำหมายปล่อยจากศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมาแสดงต่อแพทย์ผู้ตรวจรักษาและผู้ปกครอง เนื่องจากกรมพินิจฯไม่มีอำนาจควบคุมตัวเด็กได้อีก หลังจากที่พนักงานสอบสวนไม่สามารถสรุปสำนวนส่งอัยการได้ทัน ต้องระงับการสอบสวนไว้ก่อน

น.ส.ศิริประกายกล่าวต่อว่า จากที่ได้พบและพูดคุยกับผู้ปกครองเด็กผู้ก่อเหตุค่อนข้างให้ความร่วมมือและยินดีที่จะให้อยู่ในการดูแลรักษาต่อโดยแพทย์เฉพาะทางของสถาบันกัลยาณ์ฯ ส่วนสาเหตุที่แพทย์เห็นสมควรให้รักษาต่อ เนื่องจากกระบวนการทางการรักษายังไม่เสร็จสิ้นต้องประเมินสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลารักษาว่าต้องใช้เวลาเท่าใด แพทย์จะเป็นผู้หารือและร่วมวางแผนแนวทางรักษากับผู้ปกครองว่าจะมีขั้นตอนการรักษาอย่างไร ครอบครัวยินยอมเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมด ในส่วนของรายงานวินิจฉัยการประเมินสุขภาพต่างๆ คาดว่าแพทย์ผู้ตรวจรักษาอาจนำส่งให้กับพนักงานสอบสวน ทั้งนี้ การเห็นสมควรให้เยาวชนผู้ก่อเหตุเข้ารักษาตัวต่อที่สถาบันกัลยาณ์ฯเพราะทั้งครอบครัวและแพทย์เล็งเห็นว่าหากนำตัวกลับไป อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของเด็กและสังคมได้ หากไม่สามารถควบคุมได้เป็นเหตุ ให้ต้องอยู่ในการรักษาของแพทย์ต่อไป

วันเดียวกัน กองบัญชาการตำรวจนครบาล เผยแพร่ข้อความประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ ผู้ต้องหาเป็นเยาวชนอายุสิบห้าปี ใช้ปืนบีบีกันดัดแปลง ยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่เลือกหน้าในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ไป 42 นัด ยังเหลือกระสุนอีก 8 นัด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บสาหัส 4 ราย มีทรัพย์สินของผู้ประกอบการร้านค้าเสียหาย ก่อนตำรวจจะเข้าระงับเหตุควบคุมตัวมาดำเนินคดี ทางการสืบสวนผู้ต้องหาเป็นนักเรียน ม.2 ของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง ไม่เคยถูกพักหรือหยุดเรียน มีความรู้ ความเข้าใจ เพราะสามารถสั่งซื้ออาวุธปืนและเครื่องกระสุนทางออนไลน์ได้ด้วยตนเอง เคยเข้าสนามยิงปืนและหัดยิงปืนกับผู้ปกครอง 3 ครั้ง ต่อมาสามารถวางแผนเข้าไปยิงปืนในสนามยิงปืนได้ ทั้งที่อายุไม่ถึงเกณฑ์ ถือได้ว่ามีความรู้เรื่องอาวุธและมีทักษะยิงปืนเป็นอย่างดี

หลังจับกุมได้ในวันที่ 4 ต.ค.66 ได้ส่งตัวเยาวชนไปไต่สวนที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ศาลส่งตัวไปสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง ระหว่างสอบสวนได้ผัดฟ้องและฝากขังโดยลำดับ ภายหลังทราบว่า สถานพินิจฯได้ส่งเยาวชนไปสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เพื่อตรวจสภาวะทางจิต วันที่ 27 ต.ค. 66 สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์มีหนังสือให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำเยาวชนได้ เพราะจิตแพทย์เจ้าของไข้รับรอง พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำเยาวชนเป็นผู้ต้องหาเมื่อวันที่ 3 พ.ย.66 โดยดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 และ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 มีอัยการ นักสังคมสงเคราะห์ ที่ปรึกษา กฎหมาย (ทนายความ) บิดา ร่วมสอบสวนด้วย

ระหว่างสอบสวนผู้ต้องหาสามารถรู้และเข้าใจข้อกล่าวหาได้ดี ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาและให้การว่า สั่งซื้ออาวุธและเครื่องกระสุนอย่างไร มีเพื่อนสนิทเป็นใคร ฝึกซ้อมยิงปืนกี่ครั้ง ที่ใดบ้างและคำถามอื่นๆ เพียงแต่ไม่ให้การถึงเหตุการณ์ที่ก่อขึ้นเท่านั้น ระหว่างสอบสวนทั้งพนักงานสอบสวนและผู้เข้าร่วมสอบสวนทุกฝ่าย ไม่มีเหตุตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14 อันควรเชื่อว่า ผู้ต้องหาวิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ จึงได้ร่วมลงชื่อในบันทึกปากคำและบันทึกวิดีโอไว้เป็นหลักฐาน

ต่อมาวันที่ 7 ธ.ค.66 สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ รายงานผลการตรวจวินิจฉัยและประเมิน ความสามารถในการต่อสู้คดี พบว่า ผู้ต้องหามีความสามารถในการรับรู้กาลเวลา สถานที่ บุคคลและสิ่งต่างๆรอบตัว ความสามารถรับรู้ถึงผลที่เกิดขึ้นจากคดี แต่ไม่มีความเข้าใจตระหนักรู้ของข้อกล่าวหา ไม่มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมของตนเอง สรุปผลประเมินว่า ไม่สามารถต่อสู้คดีได้ จากนั้นวันที่ 21 ธ.ค.66 เมื่อการสอบสวนเสร็จสิ้น พิจารณาแล้วเห็นว่า ลำพังการปฏิเสธไม่รับรู้และให้การเรื่องราวที่ตนก่อขึ้น ยังไม่ถึงขั้นจะเป็นเหตุให้พนักงาน สอบสวนเชื่อและเห็นว่าผู้ต้องหาเป็นบุคคลวิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ จึงสรุปสำนวนการสอบสวนสั่งฟ้องผู้ต้องหาเสนอพนักงานอัยการ

...

เอกสารดังกล่าวระบุอีกว่า อย่างไรก็ตาม แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14 วรรคแรกและวรรคสอง จะให้อำนาจพนักงานสอบสวนหรือศาลเท่านั้นมีดุลพินิจที่จะเชื่อหรือเห็นว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยวิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ แต่เมื่อพนักงานอัยการเจ้าของสำนวน มีความเห็นแตกต่างและคืนสำนวนการสอบสวนมา พนักงานสอบสวนก็น้อมรับปฏิบัติและจะได้ติดตามผลจากจิตแพทย์อย่างใกล้ชิด ทันทีที่ได้รับรายงานว่า ผู้ต้องหาสามารถต่อสู้คดีได้จะนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานอัยการเพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีภายในกำหนดความ 20 ปี ต่อไป

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่