กรมพินิจฯ นำหมายปล่อยตัว เด็ก 14 มือกราดยิงปืนที่ห้างสยามพารากอน หลังพนักงานสอบสวนไม่สามารถสรุปสำนวนส่งอัยการได้ทัน ขณะที่อัยการสูงสุด เผยแพทย์ลงความเห็นว่าเด็กยังมีอาการป่วยจิตเวช ต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหาย หวั่นปล่อยตัวไปจะอันตรายต่อสังคม


จากกรณีการปล่อยตัวเด็กชายวัย 14 ปี มือกราดยิงปืนที่ห้างสยามพารากอนจนมีผู้เสียชีวิต หลังตำรวจส่งสำนวนคดีให้อัยการไม่ทันตามกำหนด เป็นเหตุให้หมดอำนาจควบคุมตัวเพื่อรับการรักษาและสอบปากคำที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ตั้งแต่เมื่อเที่ยงคืนที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น


เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 1 ม.ค. 67 ที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ถ.พุทธมณฑลสาย 4 แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กทม. นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยผ่านโทรศัพท์ว่า กระบวนการของอัยการได้หมดหน้าที่นับตั้งแต่คืนสำนวนคดีให้ตำรวจ ส่วนเรื่องการรักษาตัวเด็กชายผู้ก่อเหตุที่สถานพยาบาลแห่งนี้ต่อไปนั้น ได้พูดคุยกับหนึ่งในคณะสหวิชาชีพผู้ร่วมรักษาเด็ก ระบุว่า แพทย์ได้ลงความเห็นว่าเด็กยังมีอาการป่วยจิตเวช ต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหาย เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายของเด็กที่อาจก่อกับสังคม และต้องหาสาเหตุการก่อเหตุครั้งนี้ โดยเป็นไปตามหลักนิติจิตเวช แพทย์จึงยืนยันว่าจะต้องแจ้งผู้ปกครองถึงเงื่อนไขเหล่านี้ แต่หากไม่ได้รับความร่วมมือ เจ้าหน้าที่ก็จำเป็นต้องใช้มาตรการตามกฎหมาย เนื่องจากการรับการรักษาต่อนั้นต้องได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยและผู้ปกครองเอง

...


นายประยุทธ ยืนยันว่า ในวันนี้มีการประชุมหารือระหว่างผู้ปกครองเด็ก เจ้าหน้าที่สถานพินิจฯ แพทย์ และส่วนที่เกี่ยวข้อง จะทราบผลสรุปภายในวันนี้ หากเด็กไม่เจ็บป่วยก็ต้องปล่อยตัวไป แต่เมื่อชัดเจนว่าป่วยก็ต้องรักษาตัวต่อ


ต่อมาเวลา 11.00 น. รถของเจ้าหน้าที่กรมพินิจฯ แพทย์ และผู้ปกครอง ทยอยขับรถออกจากโซนอาคารรักษาตัวของผู้ป่วย ซึ่งปิดกั้นไม่ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไป โดยไม่มีผู้ใดจอดรถลงมาให้ข้อมูล


น.ส.ศิริประกาย วรปรีชา รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เปิดเผยทางโทรศัพท์ว่า เมื่อช่วงเวลา 09.00 น. ที่ผ่านมา ตนได้นำเอาหมายปล่อยจากศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เดินทางมายังสถาบันกัลยาณ์ฯ เพื่อแสดงต่อแพทย์ผู้ตรวจรักษาและผู้ปกครอง เนื่องจากกรมพินิจฯ ไม่มีอำนาจในการควบคุมตัวเด็กได้อีกต่อไป ภายหลังจากที่พนักงานสอบสวนไม่สามารถสรุปสำนวนส่งอัยการได้ทัน จึงต้องระงับการสอบสวนไว้ก่อน ซึ่งจากการที่ตนได้พบและพูดคุยกับผู้ปกครองของ ด.ช. ค่อนข้างให้ความร่วมมือและยินดีที่จะให้ ด.ช. อยู่ในการดูแลรักษาต่อโดยแพทย์เฉพาะทางของสถาบันกัลยาณ์ฯ


ส่วนสาเหตุที่ทางแพทย์เห็นสมควรให้ ด.ช. รักษาต่อนั้น เนื่องมาจากกระบวนการทางการรักษายังไม่เสร็จสิ้น และยังคงต้องมีการประเมินสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งแพทย์ยังไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาการรักษาว่าจะต้องใช้เวลายาวนานเท่าใด อย่างไรก็ตาม แพทย์จะเป็นผู้หารือและร่วมวางแผนแนวทางการรักษากับผู้ปกครองของ ด.ช. ว่าจะมีขั้นตอนการรักษาอย่างไรบ้าง โดยทางครอบครัวยินยอมเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมด ขณะที่ในส่วนของรายงานวินิจฉัยการประเมินสุขภาพต่างๆ คาดว่าทางแพทย์ผู้ตรวจรักษาอาจมีการนำส่งให้กับทางพนักงานสอบสวน ทั้งนี้ การเห็นสมควรให้ ด.ช. เข้ารับการรักษาตัวต่อที่สถาบันกัลยาณ์ฯ เพราะว่าทั้งครอบครัวและแพทย์เล็งเห็นว่าหากนำตัวเด็กชายกลับออกไป อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของตัวเด็กและสังคมได้ หากไม่สามารถควบคุมได้ จึงเป็นเหตุให้ ด.ช. จะยังอยู่ในการรักษาของแพทย์ต่อ.