ผกก.สน.หนองจอก สั่งชุดสืบสวน ควานหาตัว หนุ่มสาวเริงรัก กลาง "ร้านซักผ้าหยอดเหรียญ" มีโทษปรับ 5 พันบาท พร้อมชี้แจงปมไม่ใช่เหตุซึ่งหน้า ยอมรับมีความผิดพลาด ขณะที่รองโฆษก อสส.ฝากเตือนบุคคลที่มีพฤติกรรมแบบนี้

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2565 พ.ต.อ.ประเสริฐ สอนแจ่ม ผกก.สน.หนองจอก เปิดเผยความคืบหน้ากรณี นายโอม (นามสมมติ) เจ้าของร้านให้บริการตู้ซักเสื้อผ้าแบบหยอดเหรียญ 24 ชั่วโมง ซึ่งตั้งอยู่ภายในซอยเชื่อมสัมพันธ์ 13 แขวงกระทุ่มราย เขตหนองจอก กทม. แจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีกับคู่หนุ่ม-สาว ที่เข้ามากระทำอนาจารภายในร้านหลายครั้ง โดยเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ว่า

ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.หนองจอก อยู่ระหว่างตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดภายในร้านและบริเวณใกล้เคียงซึ่งเบื้องต้นผู้ก่อเหตุใช้รถยนต์ทะเบียนป้ายแดง แต่การสืบสวนติดตามตัวมาดำเนินคดีนั้นไม่ยาก

โดยสันนิษฐานว่าผู้ก่อเหตุทั้งสองน่าจะมีเพจที่ตื่นเต้นของตัวเองเพื่อให้มีคนติดตาม ซึ่งหากการติดตามตัวมาได้ก็จะแจ้งข้อกล่าวหาความผิดลหุโทษ มาตรา 388 ผู้ใดกระทำการอันควรขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล โดยเปลือยหรือเปิดเผยร่างกาย หรือกระทำการลามกอย่างอื่น ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

นอกจากนี้ ผกก.สน.หนองจอก กล่าวยอมรับตามที่เจ้าของร้านแจ้งความที่ สน. แต่ทางตำรวจแจ้งว่าไม่ใช่เหตุซึ่งหน้าแนะนำว่าต้องมาแจ้งขณะที่ทั้งสองกำลังก่อเหตุ นั้น ว่ามีความผิดพลาด ตอนนั้นซึ่งทางตำรวจที่เจ้าของร้านเข้าพบไม่ได้แจ้งข้อมูลให้ผู้เสียหายทราบถึงการประสานงานกับฝ่ายสืบสวนให้ตรวจสอบ

ขณะที่ นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และฐานะรองอธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (สคช.) กล่าวว่า ประเด็นเเรก กรณีที่เป็นเหตุการณ์เกิดในร้านซักผ้าเปิดบริการ 24 ชั่วโมง สถานที่จะเป็นลักษณะสาธารณะที่ใครก็เข้าไปได้อาจจะไม่เข้าข่ายความผิดฐานบุกรุกเเต่มันจะมีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 388 ซึ่งพนักงานสอบสวนหรือตำรวจมีอำนาจกระทำการสอบสวนได้เพราะเป็นความผิดอาญาเเผ่นดิน ถ้าเเจ้งความเเล้วก็เป็นหน้าที่ตำรวจต้องสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ตามข่าวมีการก่อเหตุ 2 ครั้งจะแบ่งการดำเนินคดีเป็น 2 กรรม ต่างกรรมต่างวาระ

...

จึงฝากขอเตือนบุคคลที่มีพฤติกรรมแบบนี้ แต่ก่อนเคยมีการดำเนินคดีมาแล้วที่เคยมีบุคคลกระทำการโป๊เปลือยในมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่สาธารณะ ซึ่งครั้งนั้นตำรวจเป็นผู้ไปติดตามดำเนินคดี ตำรวจมีหน้าที่รับคำร้องทุกข์เพื่อไปตามหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมาย ตำรวจต้องรับแจ้งความเพราะเป็นอาญาแผ่นดิน ไม่ใช่ว่าจะยอมความได้.