ผบก.นครศรีธรรมราช ยันคดี 6 โจรไอ้โม่งบุกชิงเซฟเก็บทองคำในบ้านที่ อ.หัวไทร มีความคืบหน้าตลอด 3 เดือน โดยคดีนี้เข้าข่ายร่วมกันชิงทรัพย์ พบเบาะแสคนร้ายหนีไปใน 2 อำเภอ คาดขอออกหมายจับได้เร็วๆ นี้
กรณีคนร้าย 6 คนร้าย บุกเข้าไปที่บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่หมู่ 3 ตำบลบ้านราม อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่าบ้านหลังนี้มีผู้เสียหายเป็นสองตายาย คือ นายเฉลียว คงศรีชาย อายุ 76 ปี และนางปราณี คงศรีชาย อายุ 73 ปี 2 สามีภรรยาตายายผู้เสียหายอาศัยอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว โดยรอบบ้านนั้นลูกหลานได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ถึง 6 ตัว ซึ่งเป็นกล้องที่สามารถบันทึกภาพคนร้ายขณะก่อเหตุไว้ได้ทั้งหมด โดยหลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้นเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2565 เวลาประมาณ 11.20 น. คนร้ายก่อเหตุเพียงประมาณ 5 นาที เข้ามาเอาตู้เซฟที่บรรจุทรัพย์สินไว้หลบหนีไปอย่างลอยนวล โดยโชคดีที่ไม่มีใครอยู่ในบ้าน ทำให้รอดจากการบาดเจ็บและเสียชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด แต่เหตุการณ์นี้ผู้เสียหายทั้งคู่ถูกเจ้าหน้าที่สั่งว่าจะเร่งติดตามคดีให้ และหากใครถามให้แจ้งว่าวงจรปิดเสีย จึงเชื่อเจ้าหน้าที่ แต่ท้ายที่สุด 3 เดือนแล้วกลับไม่มีความคืบหน้า และยังหวั่นเกรงว่าจะถูกคนร้ายย้อนมาก่อเหตุซ้ำ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2565 พลตำรวจตรีสมชาย ซื่อต่อตระกูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า คดีที่เกิดขึ้นนั้นเมื่อ 3 เดือนที่ผ่าน มาเจ้าหน้าที่ได้ทำงานมาตลอด 3 เดือนในการสืบสวนคลี่คลายคดีจนมีความคืบหน้าไปมาก แต่จะบอกว่ารู้ตัวหรือไม่รู้ตัวนั้นบอกไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่จะส่งผลต่อการติดตามคนร้ายโดยตรง บอกได้เพียงว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่น่าพอใจ
...
ผู้การนครศรีธรรมราช กล่าวต่อว่า อีกประเด็นที่ถูกนำเสนอว่าเป็นการปล้นนั้น ต้องทำความเข้าใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังอยู่ในพฤติการณ์ร่วมกันบุกรุก และร่วมกันลักทรัพย์ รวมทั้งเรื่อง พ.ร.บ.อาวุธปืน ยังไม่เข้าข่ายการปล้นทรัพย์ เนื่องจากไม่มีผู้เสียหายอยู่ในบ้านขณะเกิดเหตุ และเชื่อว่าคนร้ายติดตามความเคลื่อนไหวของเจ้าของบ้านอยู่แล้ว เมื่อออกจากบ้านไปจึงเข้าก่อเหตุ และเมื่อผู้สื่อข่าวถามซ้ำว่าพฤติการณ์ก่อเหตุเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกยุทธวิธีหรือไม่ ผบก.นครศรีธรรมราช ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม แต่ตอบเพียงว่าจับได้แล้วจะนำมาเปิดแถลงให้ทราบทั้งหมด
พลตำรวจตรีสมชาย กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวได้รับข้อมูลจากชุดสืบสวนคลี่คลายคดี ได้ความว่า การสืบสวนมีความคืบหน้าอย่างน่าพอใจ ได้มีการติดตามเส้นทางการหลบหนีของคนร้าย พบว่าได้หลบหนีข้ามอำเภอไปอย่างน้อย 2 อำเภอ ไปหายตัวในอำเภอหนึ่ง และมีการจำกัดพื้นที่และระบุกลุ่มคนได้หมดแล้ว รอเพียงหลักฐานและพยานบางส่วน คาดว่าจะสามารถจับกุมได้ในเร็วๆ นี้.