รองโฆษก ตร. ชี้แจงกรณี ส.ต.ท.หญิงทำร้ายอดีตทหารหญิงยศ ส.ท. โดนคดีค้ามนุษย์ ต้นสังกัดตั้งสอบวินัยร้ายแรง ชี้ สมัครรับราชการด้วยวุฒิ ปวส.สาขาบัญชี ในตำแหน่งขาดแคลนที่หากจำเป็นยกเว้นอายุเกินได้

ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 23 ส.ค. 2565 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษ ตร. เปิดเผยความคืบหน้ากรณี ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ บัวแย้ม ผบ.หมู่ กก.4 บก.ส.1 ทำร้ายอดีตทหารหญิงยศ ส.ท. ที่ จ.ราชบุรี ว่า เมื่อต้นปี 59 ผู้เสียหายและผู้ต้องหาได้รู้จักกัน ต่อมาต้นปี 64 เริ่มมีการทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเนื่องจากทำงานแล้วอาจจะไม่ถูกใจเป็นมูลเหตุจูงใจในเบื้องต้น จากนั้นปี 65 ทำร้ายมากขึ้น ผู้เสียหายขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่และน้าสาวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต วันที่ 13 ส.ค. ผู้ปกครองและญาติเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจเนื่องจากผู้เสียหายไม่กล้าให้ปากคำ

กระทั่งวันที่ 18 ส.ค. พนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้เสียหาย พยานและผู้ที่เกี่ยวข้อง และวันรุ่งขึ้นสอบปากคำผู้เสียหายเพิ่มเติมร่วมกับสหวิชาชีพ เพื่อคัดกรองพิจารณาแยกผู้เสียหายตามความผิดฐานค้ามนุษย์เนื่องจากพฤติการณ์ที่ปรากฏเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวข้องการค้ามนุษย์ลักษณะของการค้าทาส วันที่ 20 ส.ค. นำหมายค้นของศาลจังหวัดราชบุรีตรวจค้นบ้านที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งสอบปากคำผู้เสียหายและพาตัวไปตรวจร่างกายเพิ่มเติม

พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวต่อว่า ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ ติดต่อเข้ามอบตัวสู้คดี พนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้ต้องหา แจ้งข้อกล่าวหาตามความผิด พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เนื่องจากเป็นข้าราชการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์โดยบังคับใช้งานหรือบริการและเอาคนลงมาเป็นทาส หรือให้มีสถานะคล้ายคล้ายทาส มีอัตราโทษจำคุก 4-12 ปี ปรับตั้งแต่ 1 แสนถึง 1 ล้านบาท หากกระทำผิดจริงต้องรับโทษเพิ่มเป็น 2 เท่าเพราะเป็นข้าราชการ ข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายต่อกายและจิตใจผู้อื่น โดยมีกรอบระยะเวลาทำคดี 84 วัน

...

ขณะนี้ผู้ต้องหานำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังศาลเรียบร้อยแล้ว และได้คัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวอยู่ ส่วนที่มีข่าวว่าผู้ต้องหาจะเดินทางมารายงานที่ต้นสังกัดไม่เป็นความจริง ด้านคดีในวันที่ 23 ส.ค. พนักงานสอบสวนจะสอบปากคำแพทย์ที่เกี่ยวข้อง และนำผู้เสียหายไปตรวจร่างกายเพิ่มเติมอีกครั้งเพื่อนำไปประกอบการแจ้งข้อกล่าวหา ส่วนการดำเนินการทางวินัย กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 (บก.ส.1) ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ ปัจจุบันสังกัด บช.ส. เพิ่งย้ายมาที่ บช.ส. เมื่อเดือน ก.พ. 65 บก.ส.1 บช.ส. ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ออกคำสั่งเมื่อวันที่ 22 ส.ค. ดำเนินการควบคู่กับคดีอาญา ผู้ต้องหาไม่ได้มารายงานตัวที่ต้นสังกัดตามระเบียบเมื่อต้องคดีอาญา เนื่องจากตัวถูกคุมขังที่เรือนจำกลางจังหวัดราชบุรี

เมื่อถามว่า ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ เข้ารับราชการอายุ 39 ปี ระเบียบที่กำหนดอายุไม่เกิน 35 ปี พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า ผู้ต้องหาเข้ารับราชการตำรวจเมื่อปลายปี 60 ใช้วุฒิ ปวส. จบด้านบัญชี บรรจุเข้ารับราชการโดยวิธีการคัดเลือก สำนักงานงบประมาณตำรวจ (สงป.ตร.) คณะกรรมการคัดเลือกพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นคุณวุฒิที่ขาดแคลน จำเป็นต้องได้ตำรวจรายนี้มาปฏิบัติหน้าที่ ในคุณสมบัติทั่วไปจะระบุว่า ต้องเป็นผู้ที่มีอายุไม่เกิน 35 ปีแต่มีข้อยกเว้น ถ้าอายุเกินทางราชการพิจารณาแล้วว่ามีเหตุผลความจำเป็นก็สามารถยกเว้นหลักเกณฑ์ตามกฎ ก.ตร. นี่เป็นคำตอบที่ได้จากสำนักงานงบประมาณตำรวจที่พิจารณาคัดเลือกข้าราชการรายนี้เข้ามาดำรงตำแหน่ง และย้ายมา บช.ส.เมื่อเดือน ก.พ. 65

อย่างไรก็ตามเพื่อความโปร่งใสและทำความจริงให้ปรากฏ จะมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าดำเนินการตามระเบียบขั้นตอนหรือไม่ กรอบระยะเวลาตรวจสอบแยกเป็น 2 ส่วน ด้านดำเนินการทางวินัยของ บช.ส. 180 วัน และส่วนการเข้ารับราชการอยู่ระหว่างตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนตั้งข้อสังเกตว่าผู้ต้องหามีอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่น ยืนยันว่าอยู่ที่ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการดำเนินการตามกรอบกฎหมายไม่มีอภิสิทธิ์เหนือใคร คดีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบรรจุข้าราชการคนนี้เข้ามาทำงาน อีกทั้งผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐต้องรับโทษ 2 เท่าด้วยซ้ำไป.