ศาลฎีกาสั่งยกฟ้อง 3 จำเลยคดีทัวร์ศูนย์เหรียญ เนื่องจากพยานโจทก์ข้อเท็จจริงฟังไม่ขึ้นว่า จำเลยทำผิดเป็นเพียงการคาดคะเน จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นความผิดอั้งยี่ และ พ.ร.บ.ฟอกเงิน และ พ.ร.บ.มัคคุเทศก์
กรณีตำรวจจับกุมบริษัททัวร์ชาวจีนที่นำนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนมาท่องเที่ยวและซื้อของในประเทศไทยในลักษณะผูกขาดร้านค้าเพื่อบังคับให้ซื้อของเฉพาะบริษัทในเครือโดยไม่เก็บเงินค่านำเที่ยวอันมีลักษณะเป็นการอั้งยี่แล้วฟอกเงิน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 มีนาคมถึง 31 สิงหาคม 2559 ศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้ว
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 3 มีนาคม ที่ศาลอาญา ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมเกียรติ คงเจริญ อายุ 63 ปี กรรมการผู้จัดการบริษัทซินหยวน ทราเวลจำกัด กับพวกรวม 13 คนเป็นจำเลยฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่, ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและร่วมกันฟอกเงิน นัดนี้นายสมเกียรติจำเลยที่ 1 ไม่มาศาล คดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้องทุกข้อหา ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องทุกข้อหาเช่นกันแต่ลงโทษเฉพาะตามพ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวให้ปรับจำเลยที่ 1 กับ 2 และ 13 คนละ 5 แสนบาท จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษาว่าโจทก์นำสืบว่าจำเลยประกอบธุรกิจเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวด้วยการบังคับให้ซื้อของเฉพาะร้านที่กำหนดไว้โดยเฉพาะในราคาแพง เป็นการแบ่งปันผลประโยชน์ทำให้การท่องเที่ยวของไทยเสียหาย พิเคราะห์แล้วเห็นว่าพยานโจทก์ยังฟังข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า มีการเอารัดเอาเปรียบเพราะเป็นเพียงการคาดคะเนของฝ่ายโจทก์เท่านั้น พวกจำเลยมีการประกอบธุรกิจเป็นกลุ่มธุรกิจต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน สถานที่พาไปท่องเที่ยวก็เป็นการกำหนดไว้ในโปรแกรมไว้แล้ว ซึ่งเป็นกลุ่มประกอบธุรกิจจำพวกจิวเวลรี่, รังนก, ยาง ซึ่งเป็นร้านที่คนจีนนิยมไปอยู่แล้ว ซึ่งไม่มีลักษณะเป็นการผูกขาด ไม่มีการบังคับให้นักท่องเที่ยวซื้อ
...
ส่วนเรื่องค่าน้ำค่าคอมมิชชันของมัคคุเทศก์ และคนรถก็เป็นไปตามปกติของผู้ประกอบอาชีพ คดียังฟังไม่ได้ว่าเป็นการอั้งยี่ เมื่อไม่เป็นความผิด จึงไม่ต้องพิจารณาเรื่องเป็นการฟอกเงินพิพากษายกฟ้อง ข้อหาเป็นอั้งยี่และพ.ร.บ.ฟอกเงิน ส่วนข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.มัคคุเทศก์ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 12 และ 13 ไม่มีความผิดจึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องข้อหานี้เช่นกัน.