พ่อแม่ของพลทหารรชฏ เสนาสนิท ทหารเกณฑ์ขอนแก่น นำหลักฐานเข้าพบตำรวจ สภ.ย่อยศิลา ปมติดใจการตายของลูกชาย ไม่เชื่อลูกป่วยซึมเศร้าจนฆ่าตัวตาย วอนขอตำรวจสืบสวนการตาย เพื่อให้ความเป็นธรรมกับครอบครัว

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 ที่ สภ.ย่อยศิลา ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น นายสุรชัย เสนาสนิท อายุ 43 ปี และนางสาว อุลัย เตื่อยมา อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 56 บ้านโนนสวรรค์ หมู่ 1 ต.หนองน้ำใส อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นพ่อและแม่ของ พลทหารรชฏ เสนาสนิท อายุ 21 ปี ประจำค่ายทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น นำเอกสาร หลักฐานต่างๆ ทั้งแชต ทั้งพูดคุยกันกับครอบครัวและเพื่อน รวมถึงใบรับรองการตายเดินทางเข้าให้ปากคำกับ พ.ต.ท.อนุชิต ผดุงชาติ หน.สภ.ย่อยศิลา

นายสุรชัย เสนาสนิท อายุ 43 ปี บิดาของผู้ตาย เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวถึงการเดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งนี้ว่า เนื่องจากตัวเองมีลูกเพียงคนเดียว คือนายรชฏ เสนาสนิท อายุ 21 ปี ต่อมาลูกชายได้สมัครใจเข้าเป็นทหารที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น และเข้าฝึกเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 63 ซึ่งเมื่อฝึกทหารครบเรียบร้อยก็มีการลาพัก จึงมารับลูกชายกลับไปพักที่บ้าน และมาส่งลูกชายด้วยตัวเอง แต่ต่อมาวันที่ 1 พ.ย. 2563 ทางค่ายทหารโทรไปแจ้งว่าลูกผูกคอตายในกระท่อมกลางน้ำที่อยู่ในเรือนจำของค่าย จึงรีบไปดูศพลูกชาย แต่ปรากฏว่าศพนั้นถูกเคลื่อนย้ายจากจุดเกิดเหตุไปยังนิติเวช รพ.ศรีนครินทร์แล้ว

บิดาของผู้ตาย กล่าวต่อว่า จากคำบอกเล่าของคนที่เห็นศพ ทราบว่า มีเลือดที่หน้าผาก ที่แขน และว่าลูกชายใช้ผ้าขาวม้าผูกคอตาย ซึ่งเมื่อเห็นผ้าขาวม้าขอยืนยันว่าไม่ใช่ของลูก ทำให้สงสัยการตายอย่างมาก จึงขอเรียกร้องให้มีการตรวจสอบสาเหตุการตายที่แท้จริง เพื่อความเป็นธรรมกับครอบครัวด้วย ส่วนการเข้าแจ้งความนั้น เจ้าหน้าที่ทหารในค่ายแจ้งตำรวจ สภ.ย่อยศิลา ไปชันสูตรส่งศพไปนิติเวช รพ.ศรีนครินทร์ เมื่อวันที่ 1 พ.ย.2563 ปกติลูกเป็นคนร่าเริง กลัวเจ็บ เป็นคนขี้กลัว ไม่กล้าทำตัวเอง และไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า และไม่คิดว่าลูกจะทำตัวเองและฆ่าตัวตายตามที่ทางค่ายทหารแจ้งมา เพราะก่อนจะเสียชีวิตลูกชายได้ฝึกเสร็จก็ลากลับบ้าน 10 กว่าวัน โดยมารับลูกชายที่ค่ายในวันที่ 12 ตุลาคม 2563 ก็กลับไปเยี่ยมบ้านที่ อ.บ้านไผ่และพ่อเป็นคนมารับ จากนั้นก็กลับเข้ามาที่ค่ายในวันที่ 25 ตุลาคม 2563 และพ่อก็เป็นคนมาส่งลูกเอง จากนั้นวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ยังได้คุยแชตกับลูกชาย 

...

“เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดจึงไม่มีความเป็นไปได้เลยว่าลูกจะเป็นโรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตาย เพราะเชื่อว่าถ้าลูกมีอะไรลูกต้องคุยกับพ่อแม่ โทรศัพท์ก็มีแชตคุยกันบ่อยๆ แต่ก่อนตายลูกชายไม่มีอะไรบ่งบอกที่เป็นลางสังหรณ์ว่าลูกจะตายหรือลาตาย” นายสุรชัย กล่าว

บิดาของผู้ตาย กล่าวอีกว่า ถ้าลูกชายไม่อยากเป็นทหาร ลูกคงไม่สมัครใจเข้ามาเป็นทหาร แต่นี่ลูกชายสมัครเข้ามาเป็นทหารเอง จึงไม่เชื่อว่าลูกชายจะฆ่าตัวตาย ส่วนกรณีที่ลูกชายคุยแชตกับเพื่อนรุ่นพี่คนสุดท้ายนั้น ขณะนี้ได้พูดคุยกับเพื่อนคนดังกล่าวแล้วทราบว่า ในคืนก่อนที่จะพบศพลูกชายนั้นเพื่อนรายดังกล่าวบอกว่า ในคืนที่พบศพนั้นมีอาการปวดท้องจึงเดินเข้าห้องน้ำ มองเห็นน้องยืนอยู่ที่ศาลาจุดเกิดเหตุ เมื่อเข้าห้องน้ำเรียบร้อยจึงเดินไปดูน้องก็พบว่าน้องผูกคอตายแล้ว เพื่อนจึงได้แจ้งผู้บังคับบัญชาให้ทราบ

ในส่วนของการชันสูตรพลิกศพและการตรวจพิสูจน์วัตถุต่างๆ ที่อยู่ในที่เกิดเหตุนั้น บิดาของผู้ตาย กล่าวว่า การชันสูตรศพนั้นครอบครัวเชื่อมั่นในตัวของแพทย์ที่นิติเวช โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จึงได้ทำการเผาศพ ขณะนี้ครอบครัวรอเพียงผลพิสูจน์ ทั้งอาวุธมีด รอยเลือด และดีเอ็นเอในผ้าขาวม้า รวมถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกัน เพื่อให้เกิดความกระจ่าง และเชื่อว่าจะเกิดความยุติธรรมให้กับลูกชายและครอบครัว

ในขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านพักของผู้ตายที่ อ.บ้านไผ่ พบตายาย และญาติพี่น้องอยู่ภายในบ้าน นางรำไพ เตื่อยมา อายุ 71 ปี ยายของผู้ตาย กล่าวว่า ตนและครอบครัวทุกคนไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าหลานชายป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เพราะหลานตนนั้นมีนิสัยร่าเริง อัธยาศัยดี พูดคุยหยอกล้อเล่นกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้านมาตลอด ไม่เคยเห็นเก็บตัวเงียบคนเดียว เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ครอบครัวไม่เชื่อ เพราะมีพิรุธหลายอย่าง ทั้งการนำศพส่งโรงพยาบาลศรีนครินทร์เพื่อผ่าพิสูจน์โดยไม่แจ้งญาติให้รับทราบก่อน ทั้งยังพบรอยแผลถูกของมีคมจิ้มที่ข้อมือด้านซ้าย บอกว่าหลานเอามีดปอกผลไม้จิ้มข้อมือตัวเอง ซึ่งยิ่งทำให้ไม่เชื่อ เพราะมั่นใจว่าหลานไม่กล้าทำร้ายตัวเองอย่างแน่นอน อยากจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบอย่างละเอียดชัดเจนกว่านี้.