“ถ้าผมนำทีมจับเองขนาดนี้ ถ้าจับแพะ ตำรวจคงไม่มีที่ยืนในสังคมและผมไม่ใช่เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ที่ไปจับแพะจับแกะ เป็นตำรวจ จับแต่โจรผู้ร้าย ดูแลประชาชน” เป็นคำพูดหนักแน่นของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. หลังปิดฉากไล่ล่าผู้ต้องหาคดีฆ่าโหด 3 ศพ ร้านทองออโรร่ากลางเมืองลพบุรี จนได้รับเสียงชมเชยจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ว่า “ที่สำคัญคือ เขาได้สร้างเกียรติยศ และศักดิ์ศรีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับความเชื่อถือไว้วางใจ”
ปิดฉากคดีสุดเหี้ยมลงเพราะฝีมือ ชั้นเชิงสืบสวน ความเก๋าเกม ลูกล่อ ลูกชนของ ผบ.ตร.และชุดสืบสวนอาชีพ หลบเลี่ยง หลอกล่อนักสืบโซเชียลที่เปิดเผยข้อมูลสืบสวนเกือบจะเปิดทางให้คนร้ายหลบหนี ทำลายหลักฐานถ้าตำรวจไม่หนักแน่น ไม่ทำตามหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ คดีนี้ย่อมมีสิทธิ์หลุด ตามผู้ต้องหาตัวจริงไม่เจอ
แต่สุดท้ายคนร้ายหนีไม่รอด นายประสิทธิชัย เขาแก้ว หรือ ผอ.กอล์ฟ ผอ.โรงเรียนวัดโพธิ์ชัย จ.สิงห์บุรี เป็นอีกคดีที่ “บิ๊กแป๊ะ” พร้อมด้วยมือสืบสวนมือดี “ลงแขก” ทำคดี คนร้ายไม่เคยรอดพ้นถูกจับกุมได้ทุกคดี
...
ย้อนไปวันที่ 9 ม.ค. คดีคนร้ายบุกเดี่ยวเข้าชิงร้านทองออโรร่า ห้างโรบินสัน ยิงผู้เสียชีวิต 3 คน และบาดเจ็บ 4 ราย ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถูกเผยแพร่มาในโลกโซเชียล ไม่มีใครรับได้ โดยเฉพาะภาพของเด็กน้อย 2 ขวบที่ถูกยิงเสียชีวิตในอ้อมกอดแม่ หลังเกิดเหตุ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี สั่งให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เร่งรัดจับกุมคนร้ายมาให้ได้เร็วที่สุด
การไล่ล่าคนร้ายคดีปล้นทองเป็นคดีสะเทือนขวัญที่คนไทยรอพิสูจน์ฝีมือตำรวจ ไม่เพียงแค่จับกุมคนร้ายมาลงโทษ แต่ตำรวจยังต้องพิสูจน์ถึงความเชื่อมั่นของสังคมในเรื่องตัวผู้ต้องหา พล.ต.อ.จักรทิพย์ พร้อมชุดสืบสวนทีมพระกาฬ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.วิสนุ ปราสาททองโอสถ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1 พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบช.ภ.9 พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รอง ผบช.น. พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุวิมล รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป.
ผบ.ตร.ระดมทีมสืบสวนที่เคยปิดคดีสำคัญมานับไม่ถ้วนเข้าร่วมทีมคลี่คลายคดี คงจะเป็นคำตอบให้สังคมได้ว่าคนร้ายไม่น่ารอดฝีมือตำรวจชุดนี้ เป็นสิ่งที่การันตีฝีมือ ผบ.ตร.มาโดยตลอด
จากคดีที่สับสนในช่วงแรก คดีไม่คืบหน้า ทำงานไปคนละทิศละทาง ผบ.ตร.ให้ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ แบ่งงานแบ่งทีมออกเป็น 25 ชุด แต่ละทีมออกไปทำการบ้านแต่ละประเด็น ช่วงเย็นมาประชุมรายงานคดีให้ ผบ.ตร.และ รอง ผบ.ตร.ทราบ โดยมี พล.ต.อ.สุชาติ มาประชุมคดีด้วยตนเองทุกวัน
ตำรวจต้องทำงานแข่งกับเวลา มีความคาดหวังจากพี่น้องประชาชน แต่อุปสรรคสำคัญที่มี “สื่อโซเชียล” และ “นักสืบไซเบอร์” ทำให้ตำรวจทำงานยากขึ้น หลายคนทำหน้าที่เป็นตำรวจฝ่ายสืบสวนบนโลกอินเตอร์เน็ตเอง โดยเฉพาะการโยนบาปให้คนมีสี ทหาร ตำรวจ เป็นคนร้าย
ชุดสืบสวนเชื่อว่าคนร้ายไม่ใช่ทหาร ตำรวจ เพราะไม่น่าจะยิงเด็ก คนร้ายเป็นคนในพื้นที่รู้ทางเลี่ยงเป็นอย่างดี หลังผ่านไปเกือบสัปดาห์ ตำรวจกองปราบปราม ทีมงานของ พล.ต.ต.จิรภพ ผบก.ป. พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2 บก.ป. พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.3 บก.ป. พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ ผกก.สสน.บก.ป. ได้เบาะแสสำคัญเกี่ยวกับ “ไซเรนเซอร์” หรือลำกล้องเก็บเสียงปืนที่คนร้ายใช้มีลักษณะเฉพาะตัว ก่อนขยายผลพบว่า โรงงานที่คนร้ายสั่งอยู่ที่ จ.สมุทรสงคราม ถูกสั่งโดยคน จ.ปทุมธานี
...
ตำรวจตามสืบสวนทราบว่า นายประสิทธิชัย หรือ ผอ.กอล์ฟ เป็นผู้สั่งมาใช้เมื่อเดือน ส.ค.2561 ตำรวจกองปราบมั่นใจว่าจะเกี่ยวข้องคดีนี้ แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดผู้ต้องหาได้ จนได้ผลตรวจกระสุนปืนขนาด 9 มม. ในที่เกิดเหตุ ยิงจากปืนยี่ห้อ CZ ของอดีตตำรวจที่เกษียณบิดาผู้ต้องสงสัย และปลอกกระสุนปืนที่ตรวจไปจากสนามยิงปืนในพื้นที่ จ.สิงห์บุรี ที่ ผอ.กอล์ฟ ไปซ้อมยิงปืนตรงกับปลอกกระสุนที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ
พล.ต.ต.จิรภพ ได้รายงานตรง ผบ.ตร. ก่อนสั่งให้พนักงานสอบสวนกองปราบรวบรวมหลักฐานอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุและไซเรนเซอร์ และหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ ก่อนอนุมัติหมายจับผู้ต้องหา
ทุกขั้นตอน ผบ.ตร.รับทราบ และสั่งให้ปิดข่าวเป็นความลับ ไม่ตอบโต้ข่าวปล่อยโลกโซเชียล แถมยังใช้ “ปล่อยข่าวลวง” เพื่อไม่ให้ผู้ต้องหาตัวจริงไหวตัวหลบหนีและทำลายหลักฐาน รวมทั้งป้องกันความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมตัวเนื่องจากผู้ต้องหาระวังตัวและพกพาอาวุธปืนติดตัวอยู่ตลอดเวลา เฝ้าตามดูข่าว ดูการทำงานตำรวจทุกวัน ตำรวจต้องเล่นข่าว สร้างสถานการณ์ ทั้งเข้าใกล้คนร้าย ควบคุมตัวคนร้ายได้ที่หนองคาย เพื่อให้คนร้ายตายใจ
ก่อนเปิดปฏิบัติการรวบตัว ผบ.ตร.ลงพื้นที่ประชุมร่วมทีมสืบสวนยืนยันหลักฐานเพียงพอ ขอหมายจับผู้ต้องหา มอบภารกิจสำคัญให้ พล.ต.ต.จิรภพและ พ.ต.อ.วิจักขณ์ นำตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ “หนุมาน” ตามแกะรอยจับกุมตัวได้พื้นที่ อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ภายในรถยนต์ไม่พบปืนที่ใช้ก่อเหตุแต่พบกระสุนปืน 9 มม.ขนาดเดียวกับที่ใช้ก่อเหตุ คนร้ายยอมให้จับ เพราะไม่ทันระวังตัวและคิดไม่ถึงว่าตำรวจจะรู้ตัวตามจับกุม
...
ผบ.ตร.และรอง ผบ.ตร.ที่คุมคดีสอบสวนปากคำนายประสิทธิชัยด้วยตนเอง เบื้องต้นรับสารภาพว่า ทำไปเพราะปัญหาหนี้สิน ปัญหาครอบครัว ซึ่งข้อมูลลับพบว่านายประสิทธิชัยใช้ชีวิตหรูหรา ติดหนี้สินจำนวนมาก รวมทั้งประเด็นรถหรูเปิดประทุนที่ถูกศุลกากรตามยึด จนต้องจ่ายค่าปรับหลายแสนบาท ทำให้ไม่มีทางออก
ตำรวจสอบสวนได้ข้อมูลว่า วันเกิดเหตุคนร้ายใส่เสื้อผ้า 2 ชั้น หลังก่อเหตุกลับบ้านถอดชุดทำตัวตามปกติ อาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุเป็นของพ่อซึ่งเป็นตำรวจเกษียณราชการที่ลพบุรี ส่วนรถ จยย.เป็นของพ่อตา หลังก่อเหตุได้นำไปคืน ส่วนเสื้อผ้าของกลางนำไปเผาทิ้งที่โรงเรียน ทองรูปพรรณ 28บาท ตอนแรกรับว่าโยนทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยาที่ จ.สิงห์บุรี พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบช.ก. นำทีมตำรวจน้ำลงไปดำน้ำหาแต่ไม่พบ ก่อนสอบเค้นรับว่าซุกซ่อนบนหลังคาโรงรถบ้านพักของพ่อ ขาด ลำกล้องปืน และ ไซเรนเซอร์ ที่อ้างโยนทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยา
แม้ผู้ต้องหาจะให้การเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ยิงไปเพราะเปิดทางให้กลัว ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าใคร แต่คำพูดน้ำเสียงไม่ค่อยสำนึกและขัดกับข้อเท็จจริง เป็นประเด็นที่ชุดสืบสวนต้องหาพยานหลักฐานมัดผู้ต้องหา
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า “ขณะนี้มีพยานหลักฐานอาวุธปืน รถ จยย. ทองรูปพรรณ เสื้อผ้าและหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์มาสนับสนุน เหลือการค้นหาลำกล้องปืนและท่อเก็บเสียง จะต้องทำต่อ ไม่ได้หยุดแค่นี้ วันนี้ต้องแยกคำให้การผู้ต้องหากับพยานหลักฐานของตำรวจ คำพูดของผู้ต้องหาพูดถึงแรงจูงใจที่ก่อเหตุ จริงเท็จไม่ทราบ คำพูดเปลี่ยนได้เรื่อยๆ เป็นสิทธิของผู้ต้องหา ตำรวจยืนยันว่า ทำตามกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา คนร้ายเข้าไปปล้นร้านทอง เป็นเจตนาชิงทรัพย์ ยิงคนเสียชีวิต เป็นเจตนาฆ่าผู้อื่น พอถูกจับมาคนร้ายบอกว่าต้องการฆ่าตัวตายหรือหนี้สิน ตำรวจไม่ได้ฟังตรงนั้น เบื้องต้นฟันธงคนร้ายประสงค์ต่อทรัพย์ ในชั้นนี้ยังไม่มีหลักฐานคนอื่นมีส่วนร่วมกระทำความผิด ถ้ามีเอาด้วย คดีนี้ ผบ.ตร. มอบหมายให้ตำรวจกองปราบปรามเป็นผู้รับผิดชอบหน่วยเดียว”
...
ปิดฉากคดีฆ่าชิงทองที่ลพบุรี ผบ.ตร.สวมบทนักสืบนำทีมสืบสวนมือดีร่วมกัน “ลงแขก” กระชากหน้ากากมือปืนโหดบุกเดี่ยวปล้นทอง ตอบคำถามสังคมได้หมด
ยืนยันว่า ตำรวจยุคนี้มีฝีมือ ไม่มี “จับแพะ” มีแต่จับฆาตกร.
ทีมข่าวอาชญากรรม