รวม 10 อันดับคดีอาชญากรรมที่คนให้ความสนใจจนเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ มากที่สุดในรอบปี 2562 ที่ผ่านมา

อันดับที่ 1 เสี่ยรถเบนซ์เมาขับ ยอมจ่าย 45 ล้าน

เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ช่วงกลางดึกเวลาประมาณ 01.00 น. นายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ อายุ 56 ปี เจ้าของบริษัทประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ เมาซิ่งรถยนต์เมอร์เซเดส เบนซ์ อี 250 พุ่งชนรถยนต์อีกคันบนสะพานคลองตาปุ้น ถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก พังยับเยิน วัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดได้ถึง 260 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เป็นเหตุให้ พ.ต.ท.จตุพร หรือตี๋ งามสุวิชชากุล อายุ 48 ปี รอง ผกก. (สอบสวน) กก.2 บก.ป. และนางนุชนาถ งามสุวิชชากุล อายุ 44 ปี ภรรยาเสียชีวิต ส่วนลูกสาวอายุ 12 ปี บาดเจ็บสาหัส

หลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวน สน.ศาลาแดง แจ้งดำเนินคดี 3 ข้อหา “ขับรถด้วยความเร็วเกินกฎหมายกำหนด ขับรถขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้รับอันตรายสาหัสและทรัพย์สินเสียหาย และขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้รับอันตรายสาหัส” ส่งฟ้องศาล ต่อมานายสมชาย สำนึกผิดเจรจาชดใช้ค่าเสียหายให้ครอบครัวเหยื่อรวม 45 ล้านบาท

...

“ตนพร้อมดูแลลูกสาวทั้งสองเสมือนเป็นหลานแท้ๆ ของตน นอกจากนี้ ตนตั้งใจที่จะบวชหน้าไฟให้ผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คน เลิกดื่มแอลกอฮอล์ตลอดชีวิต และบริจาคช่วยเหลือมูลนิธิเมาไม่ขับทุกปี” เมื่อถามว่า อยากจะฝากหรือเตือนอะไรถึงผู้ที่เมาแล้วขับรถ นายสมชายตอบว่า “ผมคงไม่กล้าไปเตือนครับ ทุกคนเห็นตัวอย่างอยู่แล้ว” นี่คือบางช่วงบางตอนที่นายสมชาย ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว

หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ศาลพิพากษาจำคุกนายสมชาย 3 ปี ปรับ 1 แสนบาท โทษจำให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี แต่ต้องเลิกดื่มตลอดชีวิต เจ้าตัวขอบคุณศาลที่เมตตารอการลงโทษ และขอบคุณญาติของผู้เสียชีวิตที่ให้อภัยตั้งแต่คืนแรกยอมให้เข้าไปรดน้ำศพ จนถึงบวชหน้าไฟวันสุดท้าย

อันดับที่ 2 ความตายของพริตตี้สาว “ลันลาเบล”

เมื่อวันที่ 17 ก.ย. อาชีพพริตตี้ตกเป็นข่าวครึกโครมอีกครั้ง หลังจากการพบศพ น.ส.ธิติมา นรพันธ์พิพัฒน์ อายุ 25 ปี หรือลันลาเบล พริตตี้สาวบนโซฟาล็อบบี้ชั้นล่าง คาซ่า คอนโด รัชดา-ราชพฤกษ์ แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี จากการสืบสวนสอบสวนพบว่า ผู้ตายรับงานชงเหล้าเอนเตอร์เทนที่บ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านพฤกษา 3 หมู่ 5 ซอยวัดลาดปลาดุก อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี หลังจากมึนเมาแทบไม่ได้สติ นายรัชเดช หรือน้ำอุ่น วงศ์ทะบุตร อายุ 24 ปี พริตตี้บอยที่อยู่ในงานอุ้มขึ้นรถกลับคอนโดตัวเอง โดยรับสารภาพว่า เป็นคนพาผู้ตายมาทิ้งที่ล็อบบี้คอนโด แต่ปฏิเสธไม่ได้มีเพศสัมพันธ์

...

จากการตรวจพิสูจน์พบว่า น.ส.ธิติมา เสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลว มีแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 418 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และต่อมาศาลอนุมัติหมายจับ นายน้ำอุ่น 3 ข้อหา 1.กักขังหน่วงเหนี่ยวเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.พาผู้อื่นไปเพื่อกระทำอนาจาร และ 3.กระทำอนาจารผู้อื่น ส่งฟ้องศาลนำตัวเข้าเรือนจำไปแล้ว ส่วนตำรวจ สภ.บางบัวทอง ออกหมายจับผู้ต้องหาที่อยู่ในบ้านปาร์ตี้รวม 6 คน ข้อหาซ่องโจรและร่วมกันกระทำอนาจารพริตตี้อีกราย

ซึ่งภายหลังพนักงานสอบสวน สน.บุคคโล สรุปสำนวนส่งให้อัยการคดีอาญาธนบุรีแล้ว เมื่อช่วงเย็น วันที่ 7 ธ.ค. ที่วัดสะแกงาม ถ.พระราม 2 ครอบครัวจัดพิธีฌาปนกิจศพลันลาเบล โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้าของบรรดาเครือญาติและแขกที่มาร่วมงาน ไร้เงาสมาชิกแก๊งบางบัวทองเดินทางเข้ามาร่วมแสดงความเสียใจแต่อย่างใด หลังจากผู้เป็นแม่ของลันลาเบลปฏิเสธที่จะรับซองเงินช่วยเหลือ ทำให้นายนที หรือตี๋ หนึ่งในสมาชิกแก๊งดังกล่าว หน้าแหกกลางศาลาสวดศพ

...

อันดับที่ 3 “ผมเพื่อนโชค”

กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงกระหึ่มโลกโซเชียล กับคลิปเหตุการณ์ตำรวจจราจร สภ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ตั้งด่านตรวจบริเวณจุดกลับรถในเขตเทศบาล ต.ท่ายาง เมื่อตอนค่ำวันที่ 2 พ.ค. เรียกตรวจรถเก๋งฮอนด้าแอคคอร์ดที่มีนายไกรรัตน์ วีรพัฒนาสุวรรณ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 เป็นคนขับ แต่ไม่ยอมให้ตรวจใบขับขี่ อ้างเป็นเพื่อน “ผกก.โชค” พ.ต.อ.โชคดี รักษ์วัฒนพงษ์ ผกก.สภ.ทุ่งใหญ่ ก่อนขับรถออกจากด่านไป

ภายหลัง ผกก.สภ.ทุ่งใหญ่ มีคำสั่งย้าย ส.ต.ต.เอกพล จุ้ยส่องแก้ว และ ส.ต.ท.ธีระพงษ์ เพชรจันทร์ทอง สองตำรวจที่เรียกตรวจรถคันดังกล่าวไปปฏิบัติหน้าที่อื่นแทนจราจร หลังจากนั้นผู้บังคับบัญชามีคำสั่งยกเลิกคำสั่งย้ายตำรวจจราจรทั้ง 2 นายให้กลับไปปฏิบัติหน้าที่เดิม แต่ต่อมา ที่ประชุม ก.ต.มีมติให้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง "อธิบดีเพื่อนโชค" เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคนในสังคมให้ความสนใจและวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ส่วนใหญ่ชื่นชมการทำงานของตำรวจชั้นผู้น้อยที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ถ้าชายคนที่อ้างตัวเป็นข้าราชการระดับสูงแสดงใบขับขี่ให้ตำรวจดูเรื่องก็คงจบด้วยดี แต่กลับอ้างตำแหน่งใหญ่โตแถมยังบอกว่าเป็นเพื่อน “ผกก.โชค” หลังคลิปฉาวแชร์ว่อน แทนที่ ผกก.สภ.ทุ่งใหญ่ จะปกป้องลูกน้องตัวเอง กลับมีคำสั่งย้ายให้ไปปฏิบัติหน้าที่อื่น กระทั่งกระแสโซเชียลจวกยับจนผู้บังคับบัญชาต้องระงับคำสั่ง ขณะเดียวกันบรรดาชาวเน็ตต่างทำคลิปล้อเลียนประโยคเด็ด “ผมเพื่อนโชค” เพื่อไม่ให้ตำรวจตรวจใบขับขี่ กลายเป็นเรื่องเหน็บแนมแกมประชดประชันสร้างความขำขันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

...

อันดับที่ 4 “หมวดมนัส อนุรักษ์ประเพณี”

คลิปวิดีโอฉาวเผยแพร่ในสื่อโซเชียลมีเดีย บันทึกภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรสวมเครื่องแบบถือวิทยุสื่อสาร เดินเข้าไปเรียกเก็บเงินค่าจอดรถกับคนขับรถประจำทาง 100 บาท ขณะจอดรถรอรับผู้โดยสารริมฟุตปาท โดยผู้เสียหายถามว่า “ทำไมต้องจ่าย” ตำรวจตอบหน้าตาเฉยว่า “เป็นประเพณีที่ต้องจ่าย” เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนช่วงเช้าวันที่ 17 เม.ย. ที่บริเวณหน้าขนส่งหมอชิต ถนนกำแพงเพชร 2 แขวงและเขตจตุจักร

โดยบุคคลที่ถูกบันทึกภาพเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) โดย พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ ผบก.จร. (ในขณะนั้น) ได้สั่งการให้ต้นสังกัดรายงานชี้แจง พร้อมมีคำสั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงนายตำรวจรายดังกล่าว เนื่องจากมีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ และมีคำสั่งให้ย้ายไปปฏิบัติหน้าอื่น เพื่อไม่ให้สัมผัสกับประชาชน

และในเวลาต่อมา ผู้บังคับบัญชาสั่งเด้ง ร.ต.ท.มนัส เปี่ยมเนตร รอง สว.(จราจร) งานสายตรวจ 1 กก.1 บก.จร. ไปทำหน้าที่งานธุรการ โต้ตอบหนังสือราชการ พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ส่วนสังคมโซเชียลโดยเฉพาะเฟซบุ๊กแฟนเพจต่างๆ ก็มีการแชร์ภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคลิปดังกล่าว พร้อมระบุว่า ในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา เจ้าตัวได้ควักกระเป๋าซื้อรถป้ายแดงยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งตกราคาคันละ 1 ล้านกว่าบาท ถึง 2 คัน โดยซื้อด้วยเงินสด ก่อนจะมีคนเข้ามาแสดงความเห็นถึงเรื่องนี้กันอย่างมากมาย เรียกร้องให้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน พร้อมทิ้งคำถามชวนสงสัย “เป็นตำรวจทำไมรวยจัง”

อันดับที่ 5 ดับเซียนมวย “ดา สะพานใหม่” คาวิกลุมพินี

เดือดกว่าบนเวที รัวปืนสนั่นลุมพินี ภายหลังศาลอาญาออกหมายจับนายอำนาจ อินสุวรรณโณ หรือบอลใต้ อายุ 37 ปี ชาว จ.นครศรีธรรมราช เซียนมวยดังล็อก 2 สนามมวยลุมพินีรามอินทรา ในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา หลังเจ้าตัวจ่อยิง 4 นัดซ้อนสังหารนายอัษฎา ทัพน้อย อายุ 48 ปี หรือ “ดา สะพานใหม่” เซียนมวยด้วยกันเสียชีวิต ชนวนฆ่ามาจากเรื่องการพนันมวย เหตุเกิดที่หน้าสนามมวยลุมพินี ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. หลังเสร็จสิ้นการชกมวยคู่เอกในคืนวันที่ 30 เม.ย.

ต่อมา เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม “บอลใต้” เซียนมวยที่ก่อเหตุทนแรงกดดันจากเจ้าหน้าที่ไม่ไหว ตัดสินใจเข้ามอบตัวกับ ผู้การแมน-พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผบก.สส.บช.น. (ในขณะนั้น) โดยเจ้าตัวยอมรับสารภาพว่าก่อเหตุจริง เนื่องจากเคยมีปัญหากับคนตายเรื่องการต่อรองมวยแต่ได้สะสางไปแล้ว กระทั่งวันเกิดเหตุยังมีปัญหาเรื่องต่อรองมวยกันอีก โดยมีปัญหาจากภายในสนามแล้วมาทะเลาะกันต่อตรงจุดเกิดเหตุ

ทั้งนี้ รายงานข่าวแจ้งว่า หลังมวยคู่เอกชกเสร็จ ทั้งคู่เดินลงมาเจอกันแล้วเกิดชกต่อยกันบริเวณบันได้ด้านข้างสนามมวย แต่ ‘บอลใต้’ ตัวเล็กกว่าสู้ไม่ได้จึงชักอาวุธปืนขนาด 9 มม.ออกมารัวยิงใส่ ‘ดา สะพานใหม่’ ไม่ยั้งจนฟุบจมกองเลือด ไปสิ้นใจที่ รพ.

อันดับที่ 6 บึมท้าทายรัฐบาล “ลุงตู่” เมื่อหมด “ม.44”

สถานการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นในรัฐบาล “ลุงตู่ 2” ในยุคที่ไม่มี ม.44 กับการจัดการปัญหาความมั่นคง ความไม่สงบในบ้านเมือง เสียงดังบึมสนั่นกลางกรุงระเบิดขึ้นหลายจุดทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร บางจุดมีผู้ได้รับบาดเจ็บ หลายจุดมีเสียงดังและระเบิดเพลิงเสียหาย สร้างความตื่นตกใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ เป็นคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น ประเทศไทยเพิ่งเลือกตั้งได้รัฐบาลมาบริหารประเทศ บ้านเมืองน่าจะสงบ เดินหน้าต่อไปได้

เริ่มตั้งแต่ลูกแรกเย็นวันที่ 1 ส.ค. พบคนร้ายใส่เสื้อสีเหลืองนำระเบิดปลอมมาวางหน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จนเกิดเหตุวันรุ่งขึ้น (2 ส.ค.) ในพื้นที่กรุงเทพฯเกิดเหตุ 17 จุด และพื้นที่ จ.นนทบุรี อีก 1 จุด รวมเป็น 18 จุด เหตุการณ์แบ่งเป็น 2 รูปแบบคือ เหตุวางระเบิดมี 9 ลูก เกิดระเบิด 6 ลูก เก็บกู้ได้ 3 ลูก ในท้องที่ สน.ปทุมวัน หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) 2 ลูก เจ้าหน้าที่เก็บกู้ได้ทั้งคู่ ท้องที่ สน.ทุ่งสองห้อง บริเวณศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ 4 ลูก ระเบิด 3 ลูก และเก็บกู้ได้ 1 ลูก ท้องที่ สน.ยานนาวา หน้าอาคารมหานคร เกิดระเบิด 1 ลูก มีผู้บาดเจ็บ และที่สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี เกิดระเบิด 1 ลูก มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ส่วนท้องที่ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ที่หน้าสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถนนศรีสมาน เกิดเหตุระเบิด 1 ลูก

ขณะที่คดีระเบิดเพลิง 9 จุด ท้องที่ สน.พญาไท เหตุเกิดย่านประตูน้ำ 5 จุด เกิดเพลิงไหม้ 4 จุด และไม่เกิดเพลิงไหม้ 1 จุดเพราะวงจรระเบิดไม่สมบูรณ์ และที่ห้างแพลตินั่ม 1 จุด ส่วนท้องที่ สน.ปทุมวัน มีระเบิดเพลิง 3 จุด ได้แก่ ที่สยามสแควร์ ห้างสยามพารากอน และห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 6 ที่ร้านทอยส์ อาร์ อัส คนร้ายเข้ามาวางระเบิดเพลิงเมื่อวันที่ 1 ส.ค. เวลา 15.30 น. แต่พนักงานในร้านมาพบแจ้งตำรวจมาเก็บกู้ไว้ได้ก่อน ถือเป็นจุดแรกที่พบระเบิดของขบวนการนี้

อันดับที่ 7 เสียไฮโลแค่ 2 หมื่น สั่นสะเทือนวงการตำรวจ

กลายเป็นข่าวดังชั่วข้ามคืนกรณีของ นายสัมฤทธิ์ ริมเถือน หรือ “เสือ ดุสิต” อายุ 33 ปี ก่อเหตุร่วมกับเพื่อนรุ่นน้อง ถืออาวุธปืนบีบีกันเข้าไปชิงเงินจากบ่อนพนันไฮโลแห่งหนึ่ง เดิมเคยเปิดเป็น โต๊ะสนุ้กเกอร์ของผู้ประกอบการบ่อนพนันรายใหญ่ รู้จักในชื่อ “เฮีย ต.” ตั้งอยู่ภายในซอยพหลโยธิน 50 แยก 1 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. เพื่อต้องการเอาเงินจำนวน 2 หมื่นบาท ที่เสียไปให้เจ้ามือกลับคืนมา มูลเหตุมาจากมีคนในบ่อนมาสะกิดบอกให้เลิกเล่น เพราะบ่อนนี้เขาบังคับลูกเต๋าได้ ทั้งคู่เมื่อรู้ว่าถูกโกง จึงโมโหชักปืนบีบีกันที่พกติดตัวมาคู่กายข่มขู่เอาเงินคืน

ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ส.ค. “เสือ ดุสิต” ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “ชีวิตผมไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว ผมแค่ไปเอาเงินคืน ก็ต้องตามที่ผม ครอบครัวผมไม่เกี่ยว ลูกผู้ชายหน่อยคับ ตราหน้าผมไว้เลย ผมอะเด็กสายไหม เงินแค่นี้ท่านไม่สะดุ้งหรอก ท่านก็คิดสะว่าทำบุญ” จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันสนั่นโลกโซเชียลในหลายๆ ประเด็น รวมทั้งการปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ

กระทั่งวันรุ่งขึ้น “เสือ ดุสิต” พร้อมเพื่อนถูกตำรวจเจ้าของพื้นที่ร่วมกันจับกุมตัวไว้ได้ จากนั้นไม่นาน พล.ต.ต.เอกชัย บุญวิสุทธิ์ ผบก.น.2 (ในขณะนั้น) เซ็นคำสั่งย้าย 5 เสือ สน.บางเขน เข้ากรุศปก.บก.น.2 ส่วน ผกก.สน.บางเขน รอดตัวเพราะลาราชการพอดิบพอดี ซึ่งภายหลังเป็นข่าวดังขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์หลายฉบับ ตัวละครที่อ้างเป็นเจ้ามือ ผู้เช่าที่เปิดบ่อน โดนแจ้งข้อหากันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้กระทั่งคนเล่น เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบหาเบาะแสจากกล้องวงจรปิด ขณะที่ “เสือ ดุสิต” หัวโจกนำทีมปล้น รอดนอนคุก ได้ประกันตัวพร้อมเพื่อน

สำหรับชื่อของ “เสือ ดุสิต” ทั้งชาวโซเชียลและชาวสายไหมต่างรู้จักเขาเป็นอย่างดี รวมถึงในวงการ Fight Club Thailand แหล่งรวมนักสู้สุดบู๊ฉบับอันเดอร์กราวด์ที่เจ้าตัวเคยฝากฝีไม้ลายมือไว้หลายครั้ง โดยเจ้าตัวให้คำมั่นสัญญากับเหล่าเอฟซีไว้ว่า "หลังพ้นโทษจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับการพนัน แล้วหันมาทำงานสุจริตดูแลครอบครัว"

อันดับที่ 8 วินเถื่อน ซอยอุดมสุข

ช่วงสายวันที่ 15 มิ.ย. สังคมไทยต้องตกตะลึงจากเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างวิน จยย.รับจ้างซอยอุดมสุข 1 ยกพวกพร้อมอาวุธบุกปิดวินจยย.รับจ้างอุดมสุขรุ่งเรือง ที่อยู่ตรงข้ามกันบริเวณปากซอย สุขุมวิท 103 (ซอยอุดมสุข) แขวงและเขตบางนา กทม. สาเหตุไม่พอใจ
เรื่องแย่งผู้โดยสาร กระทั่งทั้ง 2 กลุ่มเปิดศึกตะลุมบอนอย่างอุกอาจ ไล่ยิงไล่ตีกันเหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อน ไม่เกรงกลัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางนา ที่เข้าระงับเหตุ ทำให้ มีคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ถูกยิงบาดเจ็บและเสียชีวิต

จุดเริ่มต้นของเหตุครั้งนี้เกิดจากวินรถ จยย. “อุดมสุข 1” มีนายประมุข วิเชียรดิลกกุล หรือป๋ามุข อายุ 44 ปี เป็นหัวหน้า ได้รับอนุญาตถูกต้อง ไม่พอใจวินรถ จยย. “อุดมสุขรุ่งเรือง” มีนายทนง เกิดแก้ว เป็นหัวหน้า ตั้งอยู่บริเวณหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ มีผู้มาใช้บริการมากกว่า ทั้งที่ไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง เป็นเหตุให้นายประมุขร่วมกับพวกวางแผนก่อศึกยึดวินรถ จยย.คู่กรณี จนเกิดเหตุการณ์ชุลมุนมีการใช้อาวุธปืนยิงใส่กัน ส่งผลให้นายวีรวัฒน์ พึ่งครุฑ หนุ่มเคอรี่ ถูกกระสุนถึงแก่ความตาย 

อย่างไรก็ตาม คดีวินโหด กลับมีดราม่าเกิดขึ้น เมื่อนางแดง มารดานายวีรวัฒน์ พึ่งครุฑ หนุ่มเคอรี่ ออกมาเปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุลูกชายกลับมาจากส่งของ ตอนนั้นอยู่ด้วยกันในบ้าน จู่ๆ ได้ยินเสียงคนไล่ตีกัน ลูกชายจึงชะเง้อออกมาดู จึงถูกลูกหลงจากปืนเข้าศีรษะล้มลงกับพื้น แต่ไปๆ มาๆ เหมือนสถานการณ์จะ “พลิก” เป็นอีกด้าน ภายหลังจากที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้เผยคลิปเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทอีกมุม เป็นจังหวะที่ นายประมุข หรือป๋ามุข เจ้าของวินอุดมสุข 1 ถูกวินคู่อริรุมทำร้ายร่างกาย

ทว่าสิ่งที่ทำให้ช็อกไปกว่านั้นคือ ในคลิปวิดีโอปรากฏภาพชายชุดแดง ที่มีใบหน้ารูปร่างคล้ายคลึงกับหนุ่มเคอรี่ที่ถูกยิงตาย สวมเสื้อสีแดง ถือค้อนรัวฟาดใส่ศีรษะนายประมุขแบบไม่ยั้ง ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยว่า ชายชุดแดงดังกล่าวเป็นบุคคลเดียวกันกับที่ถูกยิงหรือไม่ หากชายในภาพเป็นหนุ่มเคอรี่จริง เหตุใดผู้เป็นแม่จึงบอกว่า ลูกชายตนเองนอนอยู่ในบ้าน

อันดับที่ 9 ถล่ม 15 ศพ ไฟใต้ลุกโชนอีกระลอก

ช่วงดึกวันที่ 5 พ.ย. สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เดือดระอุขึ้นมาอีกระลอก เมื่อแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบบุกยิงถล่มฐานจุดตรวจร่วมชุดคุ้มครองตำบล (ชคต.) บ้านทุ่งสะเดา หมู่ 5 ต.ลำพะยา อ.เมืองยะลา สังหาร ชรบ.และ อส. ขณะเข้าเวรยามปฏิบัติหน้าที่ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 15 ราย บาดเจ็บ 5 ราย ก่อนปล้นปืนไป 8 กระบอก เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่คาดว่าเป็นฝีมือแกนนำอาร์เคเคในพื้นที่ นำวัยรุ่นที่เพิ่งผ่านการฝึกอาวุธจากประเทศเพื่อนบ้านทดสอบฝีมือและโชว์ศักยภาพ

อย่างไรก็ตามเหตุร้ายครั้งนี้ ส่งผลต่อการพูดคุยสันติสุข ระหว่างภาครัฐ กับกลุ่มแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบ ที่หลบไปกบดานในประเทศมาเลเซีย นับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่สุดตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ปี 47 เป็นต้นมา

อันดับที่ 10 “แว่นหัวร้อน ประเทศไทยฉันไม่แคร์”

เหตุการณ์ที่เป็นไวรัลที่สุดในช่วงปลายปีที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้นเหตุการณ์ของ หนุ่มแว่นหัวร้อน หรือนายรชฏ หวังกิจเจริญสุข อายุ 24 ปี ด่ากราดคนขับรถปิกอัพโตโยต้า ชนท้ายรถเก๋งฮอนด้าซีวิคป้ายแดงของตัวเอง ขณะกลับรถบนถนนพุทธมณฑลสาย จ.นครปฐม เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 23 ต.ค. โดยนายรชฏ คุยเขื่องเป็นลูกเศรษฐีมีรถป้ายแดงคันละล้านสอง มีบ้านราคา 5 ล้านดูถูกฝ่ายตรงข้ามและคนไทยทั้งประเทศ รวมทั้งคนสำคัญ อาทิ นายกรัฐมนตรี

จากนั้นหนุ่มคนขับรถปิกอัพคู่กรณีได้โพสต์คลิปออกสู่สาธารณะทำให้หนุ่มแว่นหัวร้อนถูกชาวเน็ตถล่มยับ ถึงพฤติกรรมอวดร่ำอวดรวย ดูถูกคนอื่น และจาบจ้วงสถาบัน ซึ่งคดีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบริษัทประกันภัยของทั้งสองฝ่ายเจรจาไกล่เกลี่ยกันได้ แต่คดีอาญาตำรวจดำเนินคดีนายรชฏในข้อหาดูหมิ่นซึ่งหน้า และทำร้ายร่างกายผู้อื่น นอกจากนี้นายจ้างของนายรชฏ มีมติให้นายรชฏพ้นสภาพการเป็นพนักงานของบริษัทในวันเดียวกัน

ต่อมา มารดาพานายรชฏเข้ารับทราบข้อกล่าวหา พร้อมกล่าวขอโทษสังคม พร้อมอธิบายว่า เรื่องทั้งหมดเกิดจากบุตรชายไปศึกษาในต่างประเทศเป็นเวลานาน ไม่เข้าใจวัฒนธรรมที่ดีงามของประเทศไทย ประกอบกับบุตรชายก็มีสภาพจิตที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และอยู่ระหว่างการรักษาตัวอยู่ ซึ่งคาดว่าเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด

"ผมยอมรับว่าผมผิด และผมไม่ขอแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น วอนพี่ๆ น้องๆอย่าเอาภรรยาผมเข้ามาเกี่ยวเลยครับ ในคลิปทุกคนก็ได้เห็นกันแล้วว่าภรรยาพยายามที่จะห้ามผม แต่ผมไม่ฟัง ผมใจร้อน ผมขอโทษที่ดูหมิ่นเหยียดหยาม ผมสำนึกผิดแล้วจริงๆ ผมขอร้องได้ไหม ขอแค่ไม่เอาภรรยาของผมมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัวแล้ว ตอนนี้ผมถูกเชิญออกจากงานแล้ว ผมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ผมขอโทษครับ" บางช่วงบางตอนที่นายรชฏ กล่าวขอโทษคนไทย

แต่ทว่าท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวกลับไม่จบแค่นั้น สถานการณ์เริ่มส่อเค้ารุนแรงเมื่อชาวบ้านจำนวนมากรวมตัวกันหน้า สภ.พุทธมณฑล ในช่วงกลางดึก พร้อมหยิบสมาร์ทโฟนออกมาไลฟ์สดตะโกนด่าทอ ท้าตีท้าต่อยนายรชฏ อีกทั้งยังพาลไปถึงครอบครัว ทำให้สังคมเกิดคำถามมากมาย “ทำไปเพื่อ...อะไร” ถึงขนาดจิตแพทย์ชื่อดังยังออกมาโพสต์ว่า ตกลงใครบ้ากว่าใคร? แน่ใจนะว่าสภาพจิตใจและการควบคุมอารมณ์ปกติ.

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง "สรุปข่าวเด่นปี 2562"