การขับรถให้ประหยัดน้ำมัน หลายคนมักเข้าใจว่า ก็แค่ขับช้าๆ มันจะไปยากอะไร ยิ่งช้าก็ยิ่งประหยัดอยู่แล้ว นั่นก็เป็นความคิดที่ถูกส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนบนโลกที่สามารถทนการขับ 60 กม./ชม. ไปตลอดเส้นทางได้ ก็มีวิธีที่คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น มันอาจไม่ได้แปลว่าคุณสามารถขับเร็วแบบร้องหาใบสั่งแล้วยังประหยัดได้ แต่มันมีทางสายกลางแบบที่ไม่ช้าและไม่เปลืองน้ำมันเกินเหตุ
...
ในวันก่อนส่งต้นฉบับให้น้าฉ่าง อาคม รวมสุวรรณนี้ ผมติดภารกิจค่อนข้างเยอะ หัวก็เลยออกจะตันๆนึกไม่ออกว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี ก็ประจวบเหมาะกับการที่ในวันเสาร์ ผมจะมีโอกาสไปร่วมเดินทางกับบรรดาผู้ใช้รถ MG3 Hybrid+ ที่เขารวมตัวกันลองแข่งขับประหยัดน้ำมันเพื่อดูว่าไฮบริดจีนยุคใหม่ที่ประหยัดน้ำมัน จริงแท้แค่ไหน ผมต้องขอออกตัวก่อนเลยนะครับว่าในชีวิตจริง เวลาบริษัทรถจัดแข่งกันขับประหยัดน้ำมัน ผมโบกมือลาเกือบทุกทริป เพราะรู้สึกว่ารถมีไว้ขับเพื่อความรื่นรมย์ อยากกระแทกคันเร่งก็จัดไป ค่าน้ำมันไม่ได้แพงขนาดนั้นสำหรับผม
อย่างไรก็ตาม ถ้าถามว่าผมขับรถให้ประหยัดไม่เป็นหรือ? ผมคงตอบว่า บางคนพกมีดสั้น ก็ไม่ได้แปลว่าคุณต้องเอามาแทงใคร บางอย่างเก็บไว้เป็นคลังความรู้แต่จะใช้หรือเปล่ามันอยู่ที่ความสบายมากกว่า แต่ในวันนี้ ผมจะลองมาแชร์ให้ฟัง เพราะในบางช่วงของชีวิต เงินเราก็ไม่ค่อยมี บางทีขับไกลๆ พอถึงปลายทางถ้าประหยัดน้ำมันพอไปซื้อ KFC สักสองชิ้นได้ บางทีก็คุ้มจะแลก แต่การขับให้ประหยัด ไม่ได้แปลว่าคุณต้องขับ 60 แช่เสมอไป มันมีวิธีครับ
1.ใช้ของขวัญจากทางหลวงในการสร้างความเร็ว
ของขวัญที่ว่านั้นไม่ได้หมายถึงสติกเกอร์หรืออภิสิทธิ์พิเศษใดๆนะครับ ผมหมายถึงว่าเส้นทางที่คุณวิ่งนั้น มันต้องมีทางราบ ทางลาดขึ้น ลาดลง หลายคนตอนนี้ขับรถ บางทีอยากเพิ่มความเร็ว ก็เพิ่มเลย ยิ่งบางคนเร่งสวนขึ้นไปบนทางขึ้นเขาด้วยซ้ำ จังหวะนั้นเครื่องยนต์ต้องสู้กับทั้งน้ำหนักตัวรถและสู้กับโหลดที่เกิดจากทางขาขึ้น คุณสังเกตไหมว่าบริษัทรถบางค่ายเวลาอยากจัดทริปประหยัดน้ำมันเขาชอบให้ขับจากที่สูงลงมาเมืองที่พื้นดินใกล้ระดับน้ำทะเล? นั่นล่ะครับเพราะมันทำให้ได้ตัวเลขสวยไง
...
ในทางกลับกัน มีขึ้น ก็ต้องมีลง และในช่วงทางลงนี่ล่ะครับ หากคุณกำลังอยากหาโอกาสเพิ่มความเร็วในการเดินทาง แทนที่จะไปกดคันเร่งตอนขึ้นเนินหรือทางราบแล้วกดคันเร่ง 50% คุณลองรอให้เจอทางลาดลงแล้วกดคันเร่งเท่ากัน คุณจะลงท้ายด้วยสปีดปลายทางที่มากกว่า สมมติว่าคุณตั้งใจจะวิ่ง 90 แต่เนินขาลงนั้นสามารถพาคุณไปแตะ 120 ได้ ก็ลองประคองคันเร่งในลักษณะที่ความเร็ว “ลด” ได้ แต่ทำยังไงให้มันลดจาก 120 มาเหลือ 90 โดยใช้เวลามากที่สุด ลองฝึกดูครับ วิธีนี้ไม่ใช่วิธีประหยัดน้ำมันสูงสุด แต่เป็นวิธีที่คุณจะประหยัดขึ้นโดยที่ยังสามารถทำความเร็วในทริปนั้นได้ดีในภาพรวม
...
แต่ต้องระวังนะครับ ถ้าเร็วเกินที่กฎหมายกำหนดไว้ในโซนนั้น แทนที่จะใช้ของขวัญจากทางหลวง คุณอาจกลับต้องจ่ายเงินคืนสู่แผ่นดินโดยไม่ได้ตั้งใจ ไอ้ที่ประหยัดๆมาก็จะสลายหายไปกับใบสั่ง มันเป็นเรื่องที่อธิบายยาก แต่ถ้าพยายามลองทำบ่อยพอ มันจะชินเป็นนิสัยไปเองครับ หมายถึงการใช้เนินขาลงให้เป็นประโยชน์นะ ไม่ใช่ชินเป็นนิสัยกับการจ่ายใบสั่ง
2.หาวิธีในการประคองความเร็วระดับหนึ่งให้นาน
สาเหตุของการที่รถกินน้ำมัน/กินก๊าซ/กินไฟเยอะ เพราะคุณเร่งๆเบรกๆโดยไม่จำเป็นเยอะไป รถ EV นี่ตอนเบรกยังปั่นไฟคืนได้บ้าง รถน้ำมันน่ะ พอไอ้ซุปไดโนเสาร์ที่คุณเติมใส่ถังน้ำมันมันกลายเป็นไอเสีย มันเสียแล้วเสียเลยนะครับ ไม่มีอะไรกลับคืนมา ดังนั้น วิธีที่ดีคือ ไม่ใช่อยากวิ่งเท่าไหร่ก็วิ่ง แต่หาจุดที่จะใช้ความเร็วระดับใดระดับหนึ่งให้ได้นานหน่อย ก็เท่านั้นเอง
...
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขับมา 100 แล้วเจอรถวิ่ง 90 เปลี่ยนเลนออกมาขวางครู่หนึ่ง แล้วก็หลบ คนทั่วไปก็จะเร่งกลับไป 100 กม./ชม.เหมือนเดิมในทันที แล้วขับรถบนถนนเมืองไทย คุณจะเจอพวกรถเปลี่ยนเลนออกมาขัดลาภแบบนี้บ่อยมาก ถ้าเดี๋ยวเร่งเดี๋ยวเบรกแบบนี้ ยังไงก็เปลืองเชื้อเพลิงเปลืองไฟครับ เราก็เปลี่ยนใหม่ ใจเย็นลงหน่อย ถ้าเจอใครออกมาขัดลาภ ก็พยายามไม่ต้องรีบเร่งความเร็วกลับไป แต่รอให้เจอถนนลาดลงตามในข้อ 1 แล้วคุณค่อยอาศัยจังหวะนั้นเร่ง แบบนี้ก็จะประหยัด แต่อย่าประหยัดมารยาทด้วยการแช่ขวาแล้วไม่สนข้างหลังนะครับ ขอร้องเลย ถ้ามีรถเร็วมา คุณไม่หลบ ก็เร่ง ทำอะไรสักอย่างที่ให้โลกรู้ว่าคุณไม่โง่หรือไม่เห็นแก่ตัวเถิด
ลองปรับใหม่ จากเดิม หลายคนจะยึดติดว่า ฉันชอบขับ 100 ก็ต้องพยายาม 100 ให้ได้ตลอด ลองเปลี่ยนใหม่ ถ้าขับ 100 แล้วเจอเหตุให้ต้องขับ 90 ก็ให้มัน 90 ต่อไปสักพักจนกว่าจะเจอทางลงมาช่วย หรือถ้าไม่เจอทางลงก็มองข้างหน้าว่ามีโอกาสที่จะ 100 ได้ยาวๆ ก็ค่อยเร่งความเร็วขึ้นไป
3.สูบลมยางแข็งกว่าปกติเล็กน้อย
แข็งกว่าปกติ ก็คือ คุณไปดูที่ข้างประตู หรือในฝาถังน้ำมัน แล้วแต่ว่ารถของคุณแปะป้ายระบุลมยางไว้ตรงไหน เขาแนะนำมายังไง คุณก็บวกไปสักล้อละ 4-6 PSI ครับ บวกได้ ยางไม่ระเบิด แต่เท่าที่ผมเคยลองมา ถ้าลมยางเพิ่มประมาณนี้ แรงเสียดทานจากการหมุนสู้การยู่ตัวของแก้มยาง (ซึ่งมักเกิดเวลาลมยางอ่อน) มันจะน้อยลง และช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น เวลาวิ่งทางไกล อาจจะได้เพิ่มมาราว 0.5 กม./ลิตร อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือ รถจะแข็งกระเด้งกระด้างขึ้นครับ คุณสามารถลองเพิ่มลมยางตามที่ผมบอกได้ ถ้าทนไม่ไหวค่อยปล่อยลมยางออกเหลือเท่าปกติครับ
4.อย่าใช้ Cruise Control
Cruise Control ในรถสมัยนี้ส่วนมาก ถ้าไม่ใช่ว่ารถมันทันสมัยแบบมีกล้องอ่านสถานการณ์ข้างหน้าได้ มีระบบลิงค์กับดาวเทียมระบบนำทาง หยั่งรู้สภาพลาดชันของถนนช่วงต่างๆ ถ้าคุณเปิด Cruise Control ส่วนมากมันจะกินน้ำมันเพิ่มขึ้นครับ เพราะหน้าที่ของ Cruise Control มันมักจะยึดติดกับค่าความเร็วเป้าหมาย (ซึ่งคุณเองเป็นคนเซ็ต) สมมติว่าผมเซ็ตไว้ 100 กม./ชม. เวลามันเจอทางชันขึ้น ECU ก็จะสั่งเร่งเครื่องสู้เพื่อให้ความเร็วไม่หล่นไปจาก 100 ที่เซ็ตไว้ แล้วพอเจอทางลง มันก็จะสั่งลดการจ่ายน้ำมัน หรี่ลิ้นคันเร่ง (หรือใน EV ก็สั่งลดกำลังหรือให้มอเตอร์หน่วง) คุณก็จะได้สภาพการขับแบบเดี๋ยวก็เร่งเดี๋ยวก็เบรก ท
แต่ถ้าคุณคุมคันเร่งเอง เจอเนินขาขึ้น คุณก็เลือกได้ว่า อาจไม่ต้องกดคันเร่งเยอะ ความเร็วจะร่วงจาก 100 เหลือ 80 ก็ช่างมัน เพราะเมื่อถึงทางลง คุณใช้ความลาดกับแรงโน้มถ่วงของโลกในการช่วยเพิ่มความเร็วของรถคืนมาก็ได้ ซึ่ง Cruise Control ต่อให้ฉลาดแค่ไหน มันก็ไม่ได้สามารถแปรผันนิสัยของมันให้รับกับทุกเนินได้ เข้าข่ายว่า อยากได้ให้ตรงใจ บางทีก็ต้องทำด้วยตัวเราเองนั่นล่ะครับ
5.ในรถไฮบริดหรือ EV ใช้เบรกสร้างไฟกลับให้ถูกจังหวะ
ความต่างของรถที่แบกถ่านไว้ให้หนักบอดี้ทั้งหลายคือ คุณสามารถรับโบนัสได้จากระบบ Regenerative Braking หรือสร้างไฟชาร์จกลับโดยใช้การหน่วงของรถ ในรถสันดาปทั่วไป ถ้าคุณสามารถหาโอกาสไหลความเร็วเพิ่มได้ คุณก็ไหลให้สุด แล้วค่อยมาคุมคันเร่งแบบเหยียบนิดหน่อย ไม่ได้เหยียบเพื่อประคองความเร็ว แต่เหยียบในลักษณะที่น้อยพอให้รถลดความเร็วลงมาสู่ความเร็วที่คุณต้องการได้โดยใช้เวลานานที่สุด แต่ในรถมีถ่านทั้งหลาย ตอนขาลงคุณปล่อยให้มันได้ความเร็วตามที่คุณต้องการ พอถึงเมื่อไหร่ ค่อยๆเอาเท้าแตะๆเบรกแล้วพยายามคุมให้ได้ความเร็วแบบที่คุณต้องการ เมื่อถึงทางราบก็ค่อยประคองคันเร่งยาวไป เพราะพวกรถมีถ่าน มันจะได้ไฟฟ้าจากการกระทำนี้ครับ เอาไว้ไปใช้วิ่งต่อได้
ถ้ารถคุณมีตัวปรับแรงหน่วง ซึ่งอาจเรียกว่า Regenerative Force หรือ KERS ก็แล้วแต่ค่าย คุณไม่จำเป็นต้องปรับให้มันหน่วงแรงสุด ถ้าคุณไม่ได้ชอบการขับแบบ “ยกคันเร่งแล้วหน้าทิ่ม” แบบนั้น คุณจะปรับไปแบบหน่วงน้อยๆคล้ายรถสันดาปก็ได้ครับ เมื่อไหร่อยากสร้างไฟกลับไปเก็บหม้อ ก็ให้แตะเบรกเบาๆ ในรถมีถ่านส่วนใหญ่ เวลาแตะเบรกเลียๆ รถจะใช้ตัวหน่วงของระบบไฮบริด/ระบบ EV แทนจานเบรกอยู่แล้วครับ และในระหว่างนั้นถ้าแรงจีจากการหน่วงยังไม่เกิน 0.3G รถบางรุ่นก็จะยังไฟเบรกไม่ติดครับ
6.เปิดแอร์ให้เย็นพอประมาณ
หลายคนเปิดแอร์จนตัวเองหนาว แต่บ่นว่ารถกินน้ำมันกินไฟเหลือเกิน ต้องถามตัวเองว่าจริงๆแล้วมนุษย์เป็นสัตว์เลือดอุ่นที่สามารถคุมอุณหภูมิร่างกายได้ดีระดับหนึ่งอยู่แล้วครับ ลองปรับแอร์ไป 25 องศาดูไหม ปรับแล้วลองดูว่าตัวเองทนขับอยู่ได้หรือเปล่า แดดร้อนไหม แอร์สู้แดดได้หรือไม่ ถ้าคุณรู้สึกว่าสบายตัวดีทุกอย่าง ก็ลองปรับไป 26 องศาดู หรือรถใครไม่ได้ปรับเป็นตัวเลขแบบองศา ก็ลองบิดปุ่มสวิตช์จากหนาวเป็นเย็น หรือจากเย็นเป็นพอชิลๆ
เรื่องของเรื่องก็คือ เวลาเราขึ้นรถใหม่ๆแล้วสตาร์ท ทุกคนจะบอกว่าร้อนหมดครับ แต่พอขับไปสักพัก ลองค่อยๆปรับอุณหภูมิเย็นน้อยลง มันจะมีจุดหนึ่งที่คุณรู้สึกว่าไม่ทรมาน และไม่หนาว นั่นคือจุดที่เหมาะสำหรับคุณ ต้องคำนึงด้วยว่ารถใครติดฟิล์มดี หรือไม่ติดเลย เวลาวิ่งตอนกลางวัน รถที่มีฟิล์มกรองแสงดีๆ จะช่วยกันร้อนได้ระดับหนึ่ง เป็นภาระต่อแอร์น้อยลง คุณสามารถปรับอุณหภูมิให้เย็นน้อยลงได้มากกว่าพวกรถกระจกเปล่าๆ และช่วยเรื่องประหยัดน้ำมันได้
7.มองไกลแล้วปรับการขับตามสถานการณ์
มองข้างหน้าไกลๆ แล้วประมวลผลมาใช้กับการขับของเราครับ ลองนึกภาพตาม บางคนขนาดไฟแดงข้างหน้ายังเหลืออีก 100 วินาที ก็วิ่งเข้าไปทื่อๆแล้วไปเบรกต่อท้ายคันข้างหน้าแรงๆ แทนที่จะค่อยๆเลียเบรกเอาไฟกลับแบตเตอรี่สักหน่อย (ในรถไฮบริดกับรถไฟฟ้านะครับ) แล้วเอากำไรไฟไว้ช่วยตอนออกตัวดีกว่า ยิ่งพวกรถไฮบริด ยิ่งเบรกบ่อย ยิ่งสร้างไฟกลับมาช่วยในภายหลังได้เยอะครับ
หรือบางทีคุณเห็นแต่ไกลว่าไฟแดงเหลือ 60 วินาที ก็ลองกะสิว่า ทำยังไงให้ตอนที่เข้าไปใกล้ท้ายรถคันหน้าแล้ว จะเป็นจังหวะที่รถคันหน้าเคลื่อนตัวออกไปและเป็นไฟเขียวพอดี ถ้าคุณแทงหวยแม่นพอ รถจะไม่ต้องหยุดจนความเร็วเหลือศูนย์ ซึ่งจะบอกว่ารถยนต์จะมีจังหวะที่กินไฟ/กินน้ำมันมากที่สุดช่วงหนึ่ง ก็คือการออกตัวจากจุดหยุดนิ่งนี่ล่ะครับ ดังนั้น คนที่ขับมาเร็วแล้วรีบมาเบรกจอดรอที่ไฟแดง แล้วออกตัวเมื่อไฟเขียวกับคนที่ค่อยๆประคองเข้ามา แต่พอไฟเขียวแล้วออกต่อได้เลยโดยไม่ต้องหยุด คันหลังจะทำความเร็วจริงได้เร็วเท่ากัน แต่เปลืองน้ำมันเปลืองไฟน้อยกว่า
ให้ไว้ 7 ข้อ ลองไปฝึกกันดูครับ แต่ขอความร่วมมือว่า ทุกความประหยัด ต้องไม่ไปลดสวัสดิภาพและสิทธิในการใช้ถนนของผู้อื่นนะครับ เช่น ชะลอรอเข้าไปต่อคันหน้าที่ไฟเขียว แต่เล่นชะลอช้าจนคันหลังเบรกตัวโก่ง หรือไปวิ่ง 90 แล้วคาอยู่เลนขวา รอเนินขาลงแล้วค่อยเพิ่มความเร็ว แบบนี้คนอื่นเดือดร้อนครับ คุณอาจเป็นคนประหยัด แต่บางทีมันก็มีเส้นบางๆระหว่างขี้เหนียว เห็นแก่ตัว กับประหยัด...จงพยายามเป็นสิ่งที่สังคมไม่รังเกียจ จะดีมากครับ
Pan Paitoonpong