GLE53 Plug in Hybtid คันนี้หนักสองตันครึ่ง ยาวกว่า 4.9 เมตร สูง 1.7 เมตร ขนาดความกว้างเฉลี่ยสองเมตรนั้นกินพื้นที่บนถนนไปพอสมควร มันใหญ่โตพอๆกับ X5 50e นอกจากนี้ ยังมีกำลังถึง 544 แรงม้า แรงบิดพุ่งกระฉูดต่อเนื่องยาวนานแบบรถบ้าพลัง แรงฉุดลาก 750 นิวตันเมตรของมัน สามารถลากจูงพ่วงเทรลเลอร์รถบ้านหรือเรือลากสกีได้ถึง 3.4 ตัน นับเป็นเอสยูวีตราดาวขนาดกลางที่ทรงพลังและมีความแม่นยำบนท้องถนน มาตรฐานการกินเชื้อเพลิงในยุคคนเห่อรถไฟฟ้าทำได้ 8.5 กิโลเมตรต่อลิตร ในเมือง-และ 10.7 กิโลเมตรต่อลิตรบนทางหลวงข้ามจังหวัด AMG GLE53 เป็นไดโนเสาร์ตัวสุดท้ายที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินหกสูบเรียงเทอร์โบผสานระบบปลั๊กอินไฮบริด และมีราคาเกือบ 6 ล้านบาท
...
เมื่อยุคของรถยนต์ไฟฟ้ามาถึง และบริษัทรถส่วนใหญ่ก็เข็นรถยนต์ไฟฟ้าออกมาขายกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แต่กลับขายไม่ดีเพราะความสะดวกสบายยังเป็นรองรถสันดาปพ่วงไฮบริด คนที่อยู่คอนโดหรืออพาร์ตเมนท์ไม่มีที่จอดเสียบชาร์จตอนกลางคืน รถไฟฟ้าเหมาะกับการใช้งานในเมืองมากกว่าการขับทางไกล ไป-กลับแบบไม่ต้องหาที่ชาร์จ เกิน 500 กิโลเมตร Mercedes-Benz บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมันก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาผลิตรถยนต์เอสยูวีหรูขนาดใหญ่ที่ทรงพลังแต่ไม่สิ้นเปลืองน้ำมัน รถบางรุ่นดูหรูหราและขับสนุก ยกตัวอย่าง เช่น GLC43 GLA35 และ GLE53 ซึ่งเหมือนกับไดโนเสาร์ที่ไม่รู้ชะตากรรมว่าดาวหางกำลังพุ่งเข้ามาเพื่อทำลายล้างโลก รถสมรรถนะสูงเหล่านี้มีท่อระบายท้ายที่เร้าใจและส่งเสียงคำรามไปทั่วและอีกไม่นานพวกมันก็จะล้าสมัย แต่เดี๋ยวก่อน ตราบใดที่คุณยังเบื่อการรอชาร์จไฟและวิตกกังวนกับการเดินทางไกลไปยังเขตแดนที่ไร้จุดชาร์จ รถปลั๊กอินคือคำตอบที่ไม่ใช่ว่าจะดีที่สุด แต่มันก็ดีกว่ารถไฟฟ้าโดยที่ไม่ต้องสนใจว่าหนทางข้างหน้าจะมีที่ชาร์จไฟหรือไม่!
Mercedes-Benz AMG GLE 53 ปี 2024 ดูเหมือนสัตว์ร้ายตัวโตที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ มันขับได้อย่างเหนือชั้นจนต้องยกให้เป็นรถทดสอบยอดเยี่ยมของปี 2024
...
AMG GLE53 Hybrid มีทุกอย่างที่คุณต้องการ โดยเฉพาะความต้องการในการนำหน้า XM50e เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง เทอร์โบ ผสานระบบปลั๊กอินไฮบริดที่ทรงพลังพร้อมแรงดึงหนักหน่วงยาวนานราวกับช้างพรายกำลังชักกะเย่อ เสียงคำรามและระเบิดปะทุ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์จากท่อไอเสีย AMG Quad ล้อ AMG 22 นิ้ว ยาง Pilot Sport 4 SUV กับโช้คถุงลม 4Matic ท่าทางล่ำบึกพร้อมกระจังหน้าขนาดใหญ่ นี่คือพลังและการออกแบบที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างประสบการณ์ AMG
...
GLE53 ใช้เครื่องยนต์ AMG แบบ 6 สูบแถวเรียง เป็นเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบชาร์จพร้อมเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด สร้างกำลัง 544 แรงม้า แรงบิด 750 นิวตันเมตร ทำให้เร่งความเร็วจาก 0 ถึ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียงแค่ 4.7 วินาที ระบบส่งกำลัง เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ทำให้รถมีความเร็ว กระตือรือร้น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวพร้อมความหรู เป็น SUV ขนาดกลางที่ปรับแต่งตามแบบฉบับของรถแรงแห่ง Affalterbach ดูเป็นชนชั้นกลางแบบเนียนๆ มากกว่าจะเป็นมหาเศรษฐีที่นั่งอยู่ใน G-Class หากคุณต้องเลือก AMG สักคัน GLE53 คือคำตอบที่ขับได้สูสีหรืออาจดีกว่า Porsche Cayenne e-Hybrid ด้่วยซ้ำไป
...
การอัปเกรดขุมกำลังใหม่ ด้วยเครื่องสูบเรียง 6 กระบอกสูบ รหัส 53 พร้อมระบบปลั๊กอินไฮบริด ที่มีบาลานซ์การทำงานยอดเยี่ยมและสามารถชาร์จ DC ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ AMG GLE 53 Hybrid 2024 สปอร์ตเอสยูวีของคุณชายสายโหด เดินวัดรอยเท้าของ E 53 และ CLS 53 บนตัวถังเอสยูวีไซส์กลางโมเดล GLE การนำเสนอเครื่องยนต์ 3.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จแบบแถวเรียงหกสูบ ผสานปลั๊กอินไฮบริดที่ติดตั้งมอเตอร์เสริมแรงบิดในเกียร์ 9-G TRonic ให้กำลังจาก 435 แรงม้า เป็น 544 แรงม้า แรงบิด 520 นิวตันเมตร เพิ่มเป็น 750 นิวตันเมตร คือเพิ่มมาเห็นๆก็คือแรงฉุดลากมหาศาล Mercedes-AMG ผสมผสานระบบส่งกำลังเสริม รวมถึงการแยกระบบไฟหล่อเลี้ยงอุปกรณ์ต่างๆ ของรถออกเป็นสองระบบ เพื่อทำให้การใช้พลังงานไฟฟ้าของอุปกรณ์ต่างๆ ให้มีความเสถียร ระบบไฮบริด แพลตฟอร์ม Modular High Architecture (MHA) เฉพาะสำหรับยานยนต์ SUV แบรนด์ตราดาวที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน แชสซีแบบโมโนค็อกที่สร้างจากส่วนผสมของอะลูมิเนียมและเหล็กที่มีความแข็งแรงสูง ระบบกันสะเทือนแบบปีกนกคู่ที่ด้านหน้าและมัลติลิงก์ด้านหลัง โช้คอัพถุงลมระบบ Airmatic ปรับระดับความสูงได้สามระดับที่เซ็ตค่าใหม่หมด
GLE เป็นหนึ่งใน SUV ขนาดกลางที่ดี สำหรับหลายๆ คนแล้ว มันเป็นยานพาหนะที่ขับได้อย่างเพลิดเพลิน ใช้งานได้จริงจากพื้นที่ห้องโดยสารที่มากกว่ารถเก๋งไซล์กลาง มุมมองจากที่นั่งคนขับนั้นยอดเยี่ยม ความสะดวกสบายและความมั่นใจที่ SUV ขนาดกลางมอบให้นั้นยากที่จะปฏิเสธ Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ เครื่องยนต์ เบนซิน 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร เทอร์โบ รหัส M256M ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบ Plug-in hybrid แบตเตอรี่ขนาด 31.2 kWh ทำระยะทางการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าสูงสุด 86 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ( มาตรฐาน WLTP) รองรับการชาร์จ DC สูงสุด 60 kWh ใช้เวลาจาก 10-80% ใน 20 นาที ชาร์จ AC สูงสุด 11 kWh จาก 0-100% ในเวลา 3 ชั่วโมง ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC+ กระจายแรงส่งกำลังได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังแบบอิสระ เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G กำลังสูงสุด 544 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0 - 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งไฟฟ้าเร็วสุด 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่จะวิ่งทำไมเพราะมันกินไฟลองขับไปเรื่อยๆ เมื่อชาร์จไฟมาเต็มก็ทำได้ 70 กว่ากิโลเมตรจากที่เคลมมา 86 กิโลเมตร อาจเป็นเพราะขับสนุกก็เลยไม่คิดที่จะวิ่งเหยาะๆเป็นแมวป๋วย!
ห้องโดยสารมีอุปกรณ์ไฮเทคมากมายใช้งานไม่หมดเพราะเยอะมาก ไฟ LED รอบกรอบประตูที่เปลี่ยนเป็นสีต่างๆ ที่ผ่อนคลายหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน คาร์บอนเคฟล่าห์เงาแวบให้สัมผัสลื่นไหลและดูสบายตา ระบบเสียงก็ดีมากและคอมพิวเตอร์ประจำรถก็เตือนเป็นระยะๆ ว่า "อย่าลืมมือถือ" ภายในตกแต่งแบบ AMG Night Package สี Deep gloss black
ห้องโดยสาร AMG Interior Package พวงมาลัย AMG Performance steering wheel ระบบพวงมาลัย AMG Steering 3 สเตจ เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังและไมโครไฟเบอร์ หลังคากระจก Panoramic Sunroof ระบบปฏิบัติการ MBUX7 แบบ zero-layer concept โปรแกรม AMG หน้าจอธีมพิเศษของ AMG รวมถึงการวัดแทร็กสนามควบคุมผ่านจอกลางแบบ widescreen cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว เชื่อมต่อกับ AMG Head-up Display ขนาด 12.3 นิ้ว ติดตั้งระบบนำทางแสดงภาพเสมือนจริง MBUX augmented reality for navigation ระบบเสียง Burmester® surround sound system ลำโพง 13 ตัว กำลังขับ 590 วัตต์ พร้อม Dolby Atmos® โปรแกรมการขับขี่ AMG DYNAMIC SELECT ปรับเลือกได้ 7 รูปแบบ รวมถึงโหมด Off-Road พร้อมการแสดงผลแบบ Transparent bonnet แสดงภาพใต้ท้องรถแบบ real-time ระบบกันสะเทือนแบบ AMG RIDE CONTROL+ ที่ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับผิวถนนที่หลากหลาย Mercedes-AMG ปรับระดับเสียงท่อไอเสียได้ทั้งแบบ BALANCED หรือ POWERFUL ผ่านคอนโซลกลาง หรือบน AMG steering wheel buttons
ปลั๊กอินไฮบริด มีจุดเด่นหลายประการ ให้พลังงานแก่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของรถ ทำหน้าที่เป็นทั้งมอเตอร์สตาร์ตและไดชาร์จ ช่วยให้สามารถตัดการเชื่อมต่อจากชุดเกียร์ขณะเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ส่งพลังงานให้กับคอมแอร์ไฟฟ้าเมื่อ Auto Start/Stop ทำงาน รวมถึงการเพิ่มกำลังอีกเพียบ กับแรงบิด จาก 520 นิวตันเมตร ไปเป็น 750 นิวตันเมตร วิ่งด้วยมอเตอร์เพียวๆ โดยไม่ปล่อยมลพิษไกล 86 กิโลเมตร ลองขับจริงทำได้ 72 กิโลเมตรในย่านความเร็ว 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับระบบอัดอากาศเทอร์โบไฟฟ้า ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการกำจัดอาการเทอร์โบแล็กในรอบต่ำ Mercedes-AMG แจงตัวเลขอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ของ AMG GLE 53 Hybrid ในเวลาเพียง 4.7 วินาที ท็อปสปีดทำได้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ล็อค) อย่าลืมเผื่อระยะเบรกในรถ 2.5 ตัน แน่นอนว่ามันเร็วกว่า Cayenne e-Hybrid ส่วนฟีลลิ่งนั้น ก็เหนือชั้นกว่าอย่างชัดเจน ต้องเคยขับ Cayenne e-Hybrid ถึงจะรู้ว่า GLE53 เซ็ตมาเจิ่ดกว่า
GLE 53 Hybrid เป็นหนึ่งใน AMG SUV ที่ใหญ่และมีน้ำหนักเยอะ มวลทั้งหมดของมันมีตัวเลขอยู่ที่ 2,501 กิโลกรัม หนักกว่า Range Rover เครื่องยนต์ V8 ดูเหมือนจะเทอะทะ แต่ในส่วนของขุมกำลังหกสูบเรียงเทอร์โบคู่ เหยียบคันเร่งแต่ละทีแรงบิดโผงผางดึงกันหลังติดเบาะ อัตราเร่งที่มาพร้อมแรงดึงหนักหนาสาหัส การพุ่งออกตัวอย่างรวดเร็วจากสัญญาณไฟ ด้วยพลังแรงบิดรอบต่ำที่แทบจะไม่มีอาการรอรอบ ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะพอใจกับแรงบิดที่ให้มาอย่างเพียงพอ สำหรับคนที่ชอบเดินทางไกลบนไฮเวย์ หรือลัดเลาะไปตามเส้นทางชนบท รวมถึงขับเรื่อยๆ ในย่านความเร็วต่ำเมื่อใช้งานในเมือง GLE53 Hybrid ทำหน้าที่บนถนนเกือบทุกรูปแบบได้ดี สูสีกับ Q8 60TFSIe ในด้านการทรงตัวและพลังแรงถีบส่งจากจุดออกตัวที่โคตรจะแรง
โหมด Comfort เครื่องหกสูบเทอร์โบของ Mercedes-AMG มีการปรับตั้งเพื่อส่งถ่ายแรงบิดด้วยความนุ่มนวล โดยเนื้อแท้แล้ว M256 เป็นเครื่องยนต์เบนซินแถวเรียงเทอร์โบที่ส่งกำลังอย่างขยันขันแข็ง มันหมุนได้อย่างอิสระจนถึงรอบสูงสุดอย่างรวดเร็ว ผสานแรงบิดร่วมกับมอเตอร์ที่ขั้นอยู่ตรงกลางระวหว่างเครื่องและเกียร์ 9-G การตัดต่อให้ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนในทุกจุดของย่านพาวเวอร์แบนด์และแทบจะไม่มีปัญหาเรื่องเทอร์โบแลค (อาการรอรอบ) เครื่องยนต์หกสูบเรียงเทอร์โบของ Mercedes -AMG ทำให้ GLE 53 พุ่งทะยานอย่างเร่าร้อน ในจังหวะที่คุณต้องการจะไปให้เร็วขึ้น อาการเทอร์โบแล็กไม่ปรากฏ เป็นเอสยูวีคันโตที่ต้องการพื้นที่ในการเบ่งบานพลังงาน การจุดระเบิดและเผาไหม้กลายเป็นเสียงที่เร้าใจผ่านท่อระบายท้ายทั้งสี่ท่อ จุดที่ทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ นอกจากการเร่งความเร็วก็คือ ระบบสตาร์ต/สต็อปที่เชื่อมต่อเครื่องยนต์ระหว่างการติดและดับนั้น ทำงานได้อย่างไหลลื่นและมีความนุ่มนวลในจังหวะดับแล้วสตาร์ต หากไม่สังเกตที่มาตรวัดรอบ คุณก็แทบไม่รู้สึกว่าช่วงไหนวิ่งด้วยมอเตอร์ และตอนไหนที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ นอกจากคาบเวลาที่ต้องการพลังงานในการเร่งความเร็ว ทั้งสองระบบจะทำงานผสานกันด้วยความราบเรียบแต่ดึงหนักข้อสุดติ่ง แรงบิด 750 นิวตันเมตร ทำให้ไม่ต้องจ่ายแพงแล้วมองไปที่เครื่อง V8 ใน GLE63 อีกต่อไป...
กันสะเทือน Airmatic แบบถุงลมที่มุมทั้งสี่พร้อมกลไกไฟฟ้าในการปรับตั้งค่าการตอบสนอง เหล็กกันโคลงแบบแอคทีฟที่ช่วยลดอาการโคลงตัว (ควรใช้โหมดสปอร์ต) โรเตอร์หรือจานเบรกหน้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4MATIC + ปรับแต่งพิเศษ รองรับการส่งกำลังไปยังเพลาหน้า-หลัง ล้อขนาด 22 นิ้ว ล้อหลังยัดยางเส้นเขื่องPilot Sport SUV ขนาด 325/35ZR22 แต่ถึงแม้จะมีการเพิ่มเติมไดนามิกอย่างเต็มข้อ GLE 53 ก็ไม่ใช่รถสปอร์ตตัวเตี้ย มันคือ SUV พันธุ์แท้ที่สืบทอดเอกลักษณ์มาจาก GLK ด้วยเรือนร่างที่ใหญ่โต และสัดส่วนความสูงสไตล์เอสยูวี (ที่ปรับให้เตี้ยลงได้บ้างแต่ไม่มากนัก) คุณไม่สามารถเข้าโค้งแบบเดียวกับที่เคยทำใน AMG GT R หรือแม้แต่ CLS 53 แต่ GLE 53 Hybrid 4Matic+ ก็ปกปิดน้ำหนักตัวได้ดีพอประมาณ สามารถไหลผ่านการจราจรที่คับคั่งได้อย่างหมดจดและคล่องแคล่ว ด้วยการควบคุมที่ให้ความรู้สึกถึงพลังและความว่องไวของชุดบังคับเลี้ยว
ชุดบังคับเลี้ยวไฟฟ้าอัตราทดน้ำหนักแปรผันไปตามโหมดขับเคลื่อนและความเร็ว ถูกจูนมาให้หมุนได้อย่างอิสระและเที่ยงตรงต่อการขยับของล้อหน้า ทำให้ง่ายต่อการเล็งไปยังทิศทางที่ต้องการ แม้รถจะมีมวลมาก เมื่อปรับการทำงานของระบบกันสะเทือนไปที่โหมด Sport โช้คถุงลมจะปรับตัวเองให้ตอบสนองได้แข็งขึ้น หนักแน่นมากยิ่งขึ้น ลดความสูงลงอีกเล็กน้อย เพื่อการทรงตัวที่ดีเมื่อเปลี่ยนทิศทางเร็วๆ พร้อมกับน้ำหนักพวงมาลัยที่เพิ่มเข้ามาจนรู้สึกตึงมือ Airmatic ไม่เปราะอย่างที่คาดไว้ เนื่องจากแก้มยางไซส์ใหญ่ไม่ได้เตี้ยติดพื้น แก้มยางที่สูงพอสมควรใช้งานได้ดีมากสำหรับการวิ่งเรื่อยๆ ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือรับส่งลูกไปโรงเรียน ให้ความสะดวกสบายเมื่อขับผ่านผิวถนนที่ขรุขระ ในเมื่อความสบายของลูกค้าคือจุดขายของ Mercedes-AMG SUV ยุคใหม่ เรื่องดังกล่าวยังคงมีความสำคัญสูงสุดต่อแนวคิดในการพัฒนาและปรุงแต่งยานยนต์ตราดาว การตั้งค่าโหมด Sport+ ทำให้โช้คถุงลมแข็งขึ้น สอดรับกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นขณะใช้โหมดสูงสุดผลักดัน GLE 53 ไปยังขอบเขตต้องห้ามในเรื่องสปีดความเร็ว ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมยังดูดซับผิวถนนที่มีหลุมบ่อเล็กๆ ได้ดี ด้วยการผ่อนสั้นผ่อนยาวของโช้คอัพถุงลม
ราคา 5,850,000 บาท จากภาษีปลั๊กอินไฮบริดที่ถูกกว่า ทำให้ค่าตัวของ AMG รุ่นนี้ ถูกลงกว่าเดิม 370,000 บาท เทียบราคาสุดท้าย ปี 2024 GLE 53 4MATIC+ ก่อน Facelift ราคา 6,220,000 บาท มิติตัวถัง มีขนาดความยาว 4,937 มิลลิเมตร กว้าง 2,015 มิลลิเมตร สูง 1,782 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,995 มิลลิเมตร ที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ขนาด 630 – 2,055 ลิตร (เมื่อพับเบาะลง) ความจุถังน้ำมัน 65 ลิตร (ลดลงจากเดิม 20 ลิตร)
แบตฯ ลิเทียมไอออน ความจุ 31.2 kWh เสริมอัตราเร่งด้วยการป้อนพลังงานไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ AMG P2 ที่ฝังอยู่ในเกียร์ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G-Tronic ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC+ all-wheel drive ชุดกระจายแรงบิด fully variable torque distribution เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 6 สูบ ทวินเทอร์โบหรือเทอร์โบคู่พร้อมชุดลดอุณหภูมิไอดีอินเตอร์คูลเลอร์ตัวนี้ มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 8.7-10.2 กิโลเมตรต่อลิตร อัตราการปล่อย CO2 200 กรัม ต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร CLS 53 Coupe 4MATIC + คือการผสมผสานการออกแบบที่เน้นบรรยากาศของรถสปอร์ตกับไดนามิกของการควบคุมในสไตล์ของแบรนด์ตราดาว บนแนวทางการปรุงแต่งจากสำนัก AMG จุดเด่นของเครื่องยนต์เบนซินแบบใหม่ขนาด 3.0 ลิตร คือ เทอร์โบชาร์จเจอร์และระบบปลั๊กอินไฮบริด
GLE 53 แตกต่างจาก CLS 53 ตรงที่มีกระจังหน้าแบบระแนงแนวตั้ง Panamericana และดูดุดันกว่าเอสยูวีรุ่นอื่นๆ ของ AMG เนื่องจากมีตราดาวสีเงินขนาดใหญ่ ลักษณะที่ตะแกรงยื่นออกมาราวกับปลาใหญ่กำลังจะกลืนเหยื่อ งานดีไซน์เสริมขอบด้านบนตัวถังที่หนาและบึกบึนของ GLE เส้นสายที่เป็นเอกลักษณ์ของโมเดลคล้ายกับ GLS ไฟหน้าระบบอัตโนมัติ Multibeam LED ทำหน้าที่ให้ความกระจ่างเมื่อขับบนถนนที่ปราศจากแสงไฟ กำลังส่องสว่างไกลกว่า 550-600 เมตร Multibeam LED ช่วยเพิ่มความปลอดภัยเมื่อขับในตอนกลางคืน เป็นระบบส่องสว่างที่มีประสิทธิภาพสูง
ความสวยงามดุดันและพลังที่มากกว่า ชุดกันชนหน้า A-wing กระจกมองข้าง คิ้วขอบกระจก แร็คหลังคา กันชนท้าย และปลายท่อคู่ ไฟหน้า MULTIBEAM LED ผสานการทำงานกับ Adaptive Highbeam assist Plus ล้อฟอร์จ (Forged) ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ Cross-spoke ขนาด 22 นิ้ว พ่นสีดำด้าน matte black กระจังหน้าขนาดใหญ่ ทรงสะดุดตาเข้ากับสปอยเลอร์หน้าแบบเฉพาะของ AMG ช่องดักอากาศใหญ่ขึ้น การออกแบบลวดลายของล้อที่ไม่เหมือนใคร กันชนหลังที่ปรับสไตล์ใหม่หมด พร้อมท่อไอเสียสี่ท่อที่ทำด้วยโครเมียมรมดำกับครีบรีดอากาศใต้กันชนหลัง ฝาท้ายไฟฟ้าช่วยอำนวยความสะดวกกับพื้นที่เก็บสัมภาระที่มีขนาดความกว้างพอๆกับตู้เสื้อผ้าใบย่อมๆ เลยทีเดียว ถ้ายังเก็บของชิ้นใหญ่ไม่พอก็ขอเชิญพับเบาะหลังได้เลย
ความสวยงามดุดันและพลังที่มากกว่า กระจังหน้าใหม่ กันชนใหม่ ไฟหน้าใหม่ ดีไซน์ แบบเฉพาะเจาะจงของ AMG ช่องดักอากาศใหญ่ขึ้น การออกแบบลวดลายของล้อที่ช่วยลดน้ำหนัก กันชนหลังที่ปรับสไตล์ใหม่หมด พร้อมท่อไอเสียสี่ท่อที่ทำด้วยโครเมียมรมดำกับครีบรีดอากาศใต้กันชนหลัง ฝาท้ายไฟฟ้าช่วยอำนวยความสะดวกกับพื้นที่เก็บสัมภาระที่มีขนาดความกว้างพอๆกับตู้เสื้อผ้าใบย่อมๆ เลยทีเดียว ถ้ายังเก็บของชิ้นใหญ่ไม่พอก็ขอเชิญพับเบาะหลังได้เลย
งานตกแต่งภายในสไตล์รถผู้ใหญ่เชื่อมโยงกับอุปกรณ์ใช้งานพวกจอภาพและปุ่มควบคุมอุณหภูมิแบบแยกโซน ภายในของ AMG GLE 53 ยังคงมีมนต์ขลังสำหรับคนที่ชอบรถเอสยูวีเสมอ สำหรับ GLE 53 4MATIC+ จัดงานตกแต่งภายในที่เน้นความหรูหราเหมือนเดิม เพิ่มเติมก็คือการเปลี่ยนพวงมาลัย AMG พร้อมปุ่มปรับโหมดแบบใหม่ที่ไฮเทคและสั่งงานได้เร็วขึ้นเพราะติดตั้งอยู่ใต้ก้านวงทั้งสองฝั่ง รวมถึงแผงควบคุมที่เปลี่ยนเป็น MBUX แบบใหม่ล่าสุด สั่งงานด้วยเสียงหรือใช้นิ้วแตะแป้นสัมผัสที่อยู่ถัดไปจากคอนโซลกลาง (บริเวณเดียวกับซุ้มเกียร์ในอดีต) วัสดุพวกคาร์บอนไฟเบอร์ อัลลอย พลาสติกเกรดสูง โทนสีภายในสไตล์ AMG สร้างบรรยากาศให้มีความเป็นรถสปอร์ตควบคู่ไปกับความหรูหราน่าใช้งาน สะท้อนรูปทรงแข็งแกร่งจากภายนอกสู่งานดีไซน์ภายใน
การแสดงผลโดยรวม ยังคงใช้จอภาพขนาดใหญ่แบบสองจอภาพเชื่อมติดกัน (จอภาพมาตรวัดและจอภาพแสดงข้อมูลส่วนกลาง) การออกแบบที่โค้งมนของแดชบอร์ดคอนโซล จากด้านหน้าไปที่ประตูด้านหลังและเปิดออกที่เสา B จุดเด่นของงานตกแต่งภายใน นอกจากพวงมาลัยสามก้านแบบใหม่ที่สวยงาม ดูเข้ากับภายในของรถมากกว่าเดิม เบาะสปอร์ตของ AMG และแผงแดชบอร์ด ช่องระบายอากาศทรงสี่เหลี่ยม ล้อมกรอบด้วยวัสดุสีเงินที่คล้ายอัลลอย ยิ่งทำให้มันน่าใช้งานมากขึ้นไปอีก ภายใน ปรับเปลี่ยนโทนสีได้ถึง 64 สี จากฟังก์ชันการปรับตั้งสีสันของหลอดไฟตกแต่ง LED ที่หลากหลาย เบาะหลังแบบสามที่นั่ง ทำให้มันเป็นรถห้าที่นั่ง เมื่อต้องการขนสัมภาระ เบาะหลังมีการออกแบบให้พับราบได้เพื่อเพิ่มพื้นที่
คอนโซลกลางตกแต่งด้วยงานคาร์บอนไฟเบอร์ แดชบอร์ดและแผงประตูประดับประดาด้วยงานอะลูมิเนียมสีเงินพร้อมตำแหน่งของกรวยลำโพงที่เต็มไปด้วยรายละเอียดสลับซับซ้อนและสง่างาม เข็มขัดนิรภัยสีแดงของ AMG เบาะครึ่งหนังเดินเส้นด้วยหนังกลับ Alcantara ตำแหน่งท่านั่งจัดวางมาดีมาก โดยเฉพาะตำแหน่งคนขับซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของการใช้อุปกรณ์ด้วยแดชบอร์ดที่กว้างขวาง ทัศนวิสัยและเส้นสายตาที่ยอดเยี่ยม เบาะนั่งแบบนวดได้ และที่เท้าแขนแบบปรับความร้อนได้ ทุกพื้นผิว จุดสัมผัส หน้าปัด และคันโยกให้ความรู้สึกพรีเมียม อบอวล และคู่ควรกับป้ายราคาดาวสีเงิน การตกแต่งภายในยังคงเป็นภาพยนตร์เต็มรูปแบบพร้อมอสังหาริมทรัพย์ดิจิทัลมากมาย หน้าจอคู่ขนาด 12.3 นิ้วเป็นอุปกรณ์มาตรฐานและติดตั้งเป็นแผงหน้าปัดแบบจอภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเห็นได้จากรถเบนซ์รุ่นใหม่ๆ เป็นจอที่มีความคมชัดสูงและดูสมจริง
จอภาพมาตรวัดและจอภาพของระบบแสดงผลมัลติมีเดียขนาดความยาว 12.3 นิ้ว เชื่อมต่อกันเป็นชิ้นเดียว ทำให้มาตรวัดและจอภาพมอนิเตอร์กลางมีขนาดที่ยาวเอาเรื่อง ความคมชัดของจอภาพมาตรวัด TFT (thin film transistor) instrument cluster กับจอแสดงผลกลางสั่งงานด้วยระบบสัมผัสติดตั้งระบบ MBUX แบบใหม่ล่าสุด ติดตั้งฟังก์ชันการใช้งานเสริมอีกเพียบ พร้อมกราฟิกการแสดงผลที่มีความคมชัด โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนมาตรวัดที่มีการแสดงผลอย่างหลากหลายเต็มไปด้วยรายละเอียดที่มากกว่าเดิม ไฟตกแต่งห้องโดยสาร Ambience lighting เป็นหลอดไฟ LED ปรับเฉดสีได้ 64 สี ช่วยสร้างบรรยากาศภายในเมื่อขับตอนกลางคืน โดยสามารถปรับสีสันได้ตามใจชอบ ปรุงแต่งบรรยากาศการขับขี่ตอนกลางคืนด้วยหลอด LED ที่เปลี่ยนสีได้ตามการปรับตั้ง ช่องระบายความร้อน พร้อมโมดูลสื่อสารและเชื่อมต่อ communication module with LTE / Mercedes me connect services
AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ มีงานตกแต่งภายในที่แตกต่างในด้านของรายละเอียด วัสดุที่ใช้ตกแต่งภายในของรถรุ่นนี้ถูกเน้นหนักไปด้านอารมณ์พร้อมกับความหรูหราในสไตล์ของแบรนด์ตราดาว เบาะ AMG ปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ แผงคาร์บอนไฟเบอร์และงานอัลลอยสีเงินยวงประดับประดาอยู่บนแดชบอร์ด พวงมาลัย AMG ทรงสามก้านหุ้มด้วยหนังสองแบบมีรอบวงที่อวบอ้วนจับได้กระชับมือดีมาก แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการเอาชนะคู่แข่ง เครื่องเสียง Burmester High-End 3D Surround-Sound system ติดตั้งลำโพง 13 ตำแหน่ง กำลังขับ 590 วัตต์ ให้เสียงเพลงที่เล่นผ่าน USB / iPod/ bluetooth มีความคมชัดสมจริงและเต็มไปด้วยมิติของเสียงเบส เสียงกลางและความจัดจ้านของเสียงแหลมเป็นชุดเครื่องเสียง Burmester ที่ทำกรวยลำโพงได้สวยงามสมราคาค่าตัว 5.8 ล้าน
GLE 53 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ 2024 เพิ่มหนังและหนังกลับเป็นพิเศษทั่วทั้งห้องโดยสาร พวงมาลัยเฉพาะของ AMG พร้อมปุ่มปรับการตอบสนองของสมรรถนะที่อยู่ด้านข้างก้านวง ปุ่มขวาเป็นการปรับโหมดขับเคลื่อน ปุ่มซ้ายปรับการคตอบสนองของระบบรองรับรวมถึงระดับความสูงของรถ ระบบอินโฟเทนเมนต์ MBUX ใหม่ จับคู่กับแทร็กแพดแบบ Apple แทนปุ่มหมุนและปุ่มตัวเลขที่หมุนออก ผู้ใช้สามารถแตะ เลื่อน จีบนิ้ว และเลื่อน เหมือนกับอินพุตที่สั่งการสมาร์ทโฟนของคุณ และแม้ว่าปุ่มหมุนแบบหมุนจะเป็นวิธีที่ผมชอบในการควบคุมอินเทอร์เฟซ แทร็กแพดใหม่นี้ใช้งานง่ายพอที่จะใช้งานได้ทันที iDrive ของ BMW ที่มีแถวของปุ่มทางลัดที่ตั้งโปรแกรมได้แปดปุ่ม แต่การเรียนรู้ MBUX ใหม่ และเมนูวางในแนวนอนพร้อมปุ่มขนาดใหญ่ มันคล้ายกับอินเทอร์เฟซของ Lexus ที่ใช้แทร็กแพดเช่นกัน แต่ MBUX นั้นซับซ้อนน้อยกว่า หน้าจอไม่โอเวอร์โหลด และระดับความไวในการป้อนข้อมูลนั้นลื่นไหลและสม่ำเสมอกว่า
COMFORT
โหมดมาตรฐานเมื่อสตาร์ตเครื่องยนต์ทุกครั้ง รถจะเข้าสู่โหมดนี้ COMFORT ออกแบบมาเพื่อการควบคุมและการตอบสนองด้วยค่าที่เป็นกลาง ใช้ขับทั้งในและนอกเมืองได้ดี คันเร่งไวกว่าโหมด Silppley แต่ยังเน้นความประหยัดสำหรับการขับใช้งานในชีวิตประจำวัน คันเร่งจะหน่วงลดลงจาก Silppley แต่ไม่ไวเท่า Sport ช่วงล่าง AMG RIDE CONTROL+ แบบแอร์สปริงจะปรับให้โช้คอัพถุงลมมีความนิ่มนวลสำหรับการขับปกติ
SPORT
พวงมาลัยตั้งรับการขับที่เร็วขึ้นด้วยน้ำหนักที่ค่อนข้างกระชับรัดกุม คันเร่งไฟฟ้าตอบสนองได้เร็วขึ้น เกียร์ 9G-Tronic คาอยู่เกียร์ 3-4-5 เพื่อเรียกแรงบิดนานเป็นพิเศษ AMG RIDE CONTROL+ จะปรับระดับความสูงให้ลดต่ำลง ปรับให้โช้คถุงลมแข็งขึ้นมาอีกนิดเพื่อทำให้ช่วงล่างสอดรับกับการขับเร็ว
SPORT+
คันเร่งไฟฟ้ายังคงตอบสนองได้เร็วเหมือนกับ Sport Mode เกียร์คาให้ลากรอบในตำแหน่งเกียร์ 4-5 หรือชิปเกียร์ลงเองอย่างเร็วเมื่อใช้เบรกหนักๆ บางจังหวะเกียร์เชนลงต่ำให้ถึง 2 เกียร์ ระบบรองรับ AMG RIDE CONTROL+ โดยเฉพาะโช้คถุงลมแบบ Air Suspension ปรับตัวเองให้ระดับความสูงเตี้ยลง การทำงานของแอร์สปริงจะอัดลมเข้าระบบจนทำให้แข็งขึ้น เพื่อการขับที่ต้องการการตอบสนองในระดับสูงสุดของทุกระบบ รองรับการขับด้วยความเร็วสูงทั้งบนถนนปกติและในสนามแข่ง
INDIVIDUAL
เลือกปรับการตอบสนองแบบแยกย่อยของระบบต่างๆ เช่น เครื่องยนต์ เกียร์ พวงมาลัย และระบบรองรับหรือช่วงล่างได้ตามต้องการในรูปแบบของตัวเอง ผลักดัน AMG GLE 53 ให้เข้าสู่โหมดสูงสุด มอบการขับขี่ที่สปอร์ตยิ่งขึ้น โปรแกรมจัดการกับระบบขับเคลื่อนและช่วงล่างที่มีความซับซ้อน ซึ่งจะทำให้สามารถจัดการกับถนนที่แคบและการขับเร็วขึ้นได้อย่างน่าประทับใจ
Mercedes -AMG ปรับแต่งช่วงล่างให้ทำหน้าที่รองรับและส่งถ่ายความนิ่มนวล ทำงานผสมผสานกับระบบขับเคลื่อน เพื่อให้ Body ของรถ เคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและรู้สึกสงบเมื่อเดิน แบรนด์ตราดาวมักจะเน้นความสะดวกสบายควบคู่ไปกับสมรรถนะ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความมั่นใจและความยำเกรงอย่างน่าประหลาดใจ มันมีไดนามิกที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา รวดเร็วและสร้างความมั่นใจในการขับบนถนนที่ท้าทาย ระบบควบคุมการทรงตัวและแชสซีทำให้ประสบการณ์การขับนั้นแตกต่างออกไปจาก BMW X5 xDrive 50e ระบบช่วยทรงตัวแบบอิเล็กทรอนิกส์และแชสซีทำงานได้ดี ในการจัดการกับมวลและแรงเฉื่อย
ด้วยคุณสมบัติด้านไดนามิกที่หลากหลายของ Mercedes-AMG GLE 53 Hybrid 4Matic+ ทำให้เป็นรถ SUV สมัยใหม่ที่หรูหราและมีความอเนกประสงค์ กว้างขวางและถูกขัดเกลามาเป็นอย่างดี ถ้าไม่ระเบิดพลังงานต่อเนื่อง AMG GLE 53 ให้ความสบายและสงบขณะขับเคลื่อน พร้อมเทคโนโลยีที่ซับซ้อน แต่ง่ายต่อการขับ และปรับเปลี่ยนไดนามิกได้อย่างหลากหลายจากโหมดขับเคลื่อน แน่นอนว่ามันเป็นเอสยูวีที่เร็ว มีความปลอดภัย เกาะถนนแนบแน่น และว่องไวมากพอ เป็นผลจากการปรับแต่งและจัดการกับระบบขับเคลื่อน ช่วงล่าง ชุดบังคับเลี้ยว GLE 53 สร้างแรงบันดาลใจและจินตนาการในการขับเคลื่อนไม่ได้มากเท่ากับ AMG ตัวเตี้ยสองประตู แต่ใช้งานในชีวิตจริงได้เหนือกว่าอย่างแน่นอน การขับที่ดีงามสมบูรณ์แบบแทบจะหาข้อตำหนิไม่เจอ จึงขอยกตำแหน่งรถทดสอบยอดเยี่ยมประจำปี 2024 ให้กับเจ้า AMG คันนี้แบบปราศจากข้อกังขาใดๆทั้งสิ้น!
เทคโนโลยีและระบบความปลอดภัย Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistance Plus Package
ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉิน (Active Emergency Stop Assist)
ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST)
ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist DISTRONIC)
ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชัน HOLD
Hill-Start Assist
ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock braking system)
โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® (Electronic Stability Program)
ระบบเตือนเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ (ASSYST service interval indicator)
ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัย (Active Steering Assist) และ Parking Package พร้อมกล้องรอบคัน 360° ฯลฯ
สีตัวถัง 5 สี
สีขาว (Polar White)
สีดำ (Obsidian Black)
สีเทา (Selenite Grey)
สีเทา (MANUFAKTUR Alpine Grey Solid) + 120,000 บาท
สีแดง (MANUFAKTUR Hyacinth Red Metallic + 120,000 บาท
หลังคากระจก Panoramic Sunroof เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า
ม่านบังแดดหลังคา เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า
ไฟหน้า MULTIBEAM LED
เข็มขัดนิรภัย สีแดง Red Seat Belts
ช่วงล่าง AMG RIDE CONTROL+ suspension
ช่วงล่าง Adaptive AIRMATIC
ระบบเบรก AMG high-performance brake system
ระบบท่อไอเสีย AMG Performance exhaust system
ล้อ Forged ขนาด 22 นิ้ว AMG Matte Black
ชุดตกแต่ง AMG Night Package
ระบบปฎิบัติการ MBUX7 multimedia system
หน้าจอกลาง Widescreen Cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว 2 จอ
ระบบ Hard-disc NAVIGATION
ระบบจำลองภาพระบบนำทาง MBUX augmented reality for NAVI
รองรับ Apple CarPlay / Android Auto
ที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charger
ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester Surround Sound System
รองรับ Dolby Atmos 360 องศา
ลำโพง 13 ตำแหน่ง กำลังขับ 590 watts
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistance Systems
กล้องรอบคัน 360 องศา
ระบบแสดงภาพโปร่งใส Transparent Bonnet