Emira คือรถสันดาปภายในรุ่นสุดท้ายของ Lotus ยุคใหม่ ภายใต้เจ้าของใหม่ Geely ที่เทคโอเวอร์ทั้ง Volvo และ Smart แล้วเอามาปั้นใหม่จนขายได้ ในขณะที่ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าจากแดนมังกรกำลังขยายขอบเขตการขายอย่างแพร่หลาย Lotus Emira ยังคงสไตล์อนุรักษ์นิยมเอาไว้อย่างเหนียวแน่น เขียนให้เข้าใจง่ายๆก็คือ มันเป็นรถสปอร์ตเครื่องสันดาปภายในที่เหลืออยู่เพียงแค่รุ่นเดียวภายใต้แบรนด์อังกฤษ (ที่มีเจ้าของเป็นคนจีน) แม้ว่า Lotus จะขายรถรุ่นน้ีหมดภายในสองปีหลังจากการประกาศเปิดตัว แต่ Emira ก็ไม่ใช่รถที่ทำเงินได้มากพอที่จะผลักดันให้ Lotus ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคที่รถเอสยูวีครองความนิยมอย่างต่อเนื่อง รถสปอร์ตกลับมียอดที่หดตัวจนบางโมเดลถูกยกเลิกสายการผลิตอย่างน่าเสียดาย... 

...

หน้าที่ในการหาเงินมาพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ตกไปอยู่ที่ Emeya และ Eletre SUV ไฟฟ้า ทั้งรุ่น S และ R ซึ่งอัดในสนามได้ทั้งวันถ้ายังมีไฟเหลือในแบตฯมากพอ ด้วยระบบระบายความร้อนชุดขับเคลื่อนไฟฟ้าของ Lotus ที่มีประสิทธิภาพพอๆ กับ Porsche Taycan รวมถึง Evija e-hypercar รถต้นแบบที่จะเปิดตัวรุ่นผลิตขายจริงในช่วงปลายทศวรรษนี้ มอเตอร์สี่ตัวจะทำให้ลูกค้าของ Lotus ได้สัมผัสกับความแปลกใหม่จากกำลัง 2,000 แรงม้า แต่ Emira กลับเป็นรถสปอร์ตเครื่องวางกลางที่สืบทอดความเป็น Lotus ได้ดีที่สุด ทั้งรูปลักษณ์และฟิลลิ่งหลังพวงมาลัยของมันที่ยังเป็นรถสปอร์ตอังกฤษที่โคตรจะคมชัดสำหรับการขับ แต่ข่าวร้ายก็คือ Emira จะเป็น Lotus ที่ใช้เครื่องยนต์รุ่นสุดท้าย ในขณะที่ผู้บริหารจีนวางแผนงานการขายรถรุ่นใหม่ด้วยการผลักดันอนาคตที่ยั่งยืนกว่า เอาเป็นว่า Lotus ทุกโมเดล จะขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน ในอีก 6-7 ปีข้างหน้า!

...

เครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อน Lotus สันดาปรุ่นสุดท้ายคันนี้ เป็นขุมกำลังของ AMG คันเล็ก นั่นทำให้ฟิลลิ่งของรถแข่งในอดีตยังคงอยู่อย่างครบถ้วน คู่แข่งหลักอย่าง Porsche Cayman ที่เริ่มแก่ขึ้นทุกวัน โมเดลสปอร์ตคันเล็กเครื่องวางกลางลำของ Porsche เริ่มมีอายุมากขึ้นและเข้าสู่ช่วงปลาย น่าเสียดายมากที่ Cayman กำลังจะเปลี่ยนเป็นระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าล้วนในเร็วๆนี้ Lotus Emira มีเครื่องยนต์ให้เลือกสองเครื่อง คือ รุ่น First Edition วางเครื่องยนต์สี่สูบเทอร์โบ รหัส M139 จาก Mercedes-AMG ซึ่ง Emira หยิบยืมมาจากรถแฮทช์แบ็กสมรรถนะสูง AMG A45 แล้วนำมาปรับแต่งใหม่ จูนกำลังได้ 360 แรงม้า ซึ่งลดทอนความดุดันลงอย่างมากจาก A45 เพื่อทำให้ควบคุมได้ง่าย ระบบส่งกำลังเกียร์คลัตช์คู่แปดสปีดของ AMG เป็นเกียร์ที่มีคลัตช์สองชุด ไม่ต้องพูดถึงความเร็วในการเปลี่ยนเกียร์เพราะรู้กันดีว่าเกียร์ DCT นั้นเปลี่ยนอัตราทดได้ไวกว่าเกียร์อัตโนมัติแบบอื่นหลายเท่า 

...

...

Emira รุ่นท็อป วางเครื่องยนต์เบนซิน  V6 ของ Toyota ความจุ 3.5 ลิตร เป็นขุมกำลังของ Evora รุ่นเก่า พร้อมระบบอัดอากาศซูเปอร์ชาร์จเจอร์ ทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้เร็วกว่า เจ้า i4 First Edition เพียงแค่ 0.2 วินาที โดยทำ 0-100 ได้ในเวลาแค่ 4.2 วินาที ส่วน Emira i4 เครื่องสี่สูบเทอร์โบ เร่ง 0-100 ใน 4.4 วินาที ช้ากว่ารุ่นท็อปนิดเดียว 

Emira มีรูปลักษณ์ที่สวยงามดุดันและเอาจริงเอาจังราวกับซูปเปอร์คาร์ ส่วนหน้าของรถคล้าย Ferrari F8 บั้นท้ายสุดยอดดีไซน์ที่มีทั้งหลักอากาศพลศาสตร์ผสมกับความโค้งมนที่กลายเป็นงานศิลปขั้นสูงในโลกของรถสปอร์ต มิติตัวถัง มีขนาดความยาว 4,412 มิลลิเมตร กว้าง 1,895 มิลลิเมตร สูง 1,226 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,575 มิลลิเมตร พื้นที่เก็บสัมภาระ 359 ลิตร (208 + 151 ลิตร) ความจุถังเชื้อเพลิง 60 ลิตร

ล้ออัลลอย ขอบ 20 นิ้ว Silver Ultra-Lightweight V-Spoke Forged ยาง Michelin Pilot Sport Cup2 LTS ยางหน้าไซล์ 245/35 R20 ยางหลัง 295/30 R20 คาลิปเปอร์เบรก สีเหลือง Yellow  ไฟหน้า LED ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟ Daytime Running Lights สัญลักษณ์ First Edition ช่องระบายอากาศ Air blades, Diffuser ด้านหลัง สีดำเงา Gloss Black หลังคา, กระจกมองข้าง, ปลายท่อไอเสีย สีดำเงิน Gloss Black ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ  กระจกหน้าต่าง Privacy Glass กระจกมองข้างปรับลดแสงอัตโนมัติ ปรับและพับ ด้วยไฟฟ้า พร้อม Heater

ภายใน เบาะนั่งปรับด้วยไฟฟ้า 12 ทิศทาง ระบบบันทึกความจำตำแหน่งเบาะนั่ง Memory Seat 2 ตำแหน่ง ระบบอุ่นเบาะนั่ง Heated Seat 3 ระดับ มาตรวัด Digital TFT ขนาด 12.3 นิ้ว กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ ระบบปรับอากาศแบบ Single Zone ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร Ambient Light สีขาว ระบบกุญแจ Keyless Entry ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push Start หน้าจอกลาง ระบบ Touchscreen ขนาด 10.25 นิ้ว Apple CarPlay / Android Auto เครื่องเสียง KEF กำลังขับ 340Watt ลำโพง 10 ตำแหน่ง ระบบนำทาง Navigation System ระบบเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth ช่องเชื่อมต่อ USB ช่องชาร์จไฟ 12V

ความตึงเครียดทั้งหมดจะผ่อนคลายลงเมื่อคุณลงไปนั่งและขับมันไปได้ไม่ไกล รูปร่างที่แปลกตาแต่โคตรสวย บั้นท้ายสมส่วนแบบรถแข่ง ช่องรับอากาศและช่องระบายอากาศที่ทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งของรถดูลงตัวมากยิ่งขึ้น การออกแบบที่ใช้ความเชี่ยวชาญชำนาญงานจากดีไซน์เนอร์ยุโรป ทำให้ Emira มีขนาดเท่ากับ Cayman แชสซีอะลูมิเนียมแบบเชื่อมติดกันของ Emira เหมือนกับ Lotus ทุกรุ่นในอดีต ทำให้มันรักษาน้ำหนักตัว 1.4 ตันเอาไว้ได้ ความยาวฐานล้อใกล้เคียงกับ Evora แต่ Emira มีขนาดใหญ่กว่าในทุกมิติ 

การขับสั้นๆในสเตชันสลาลมยิมคาน่าแค่สองรอบสนามเพียงพอที่จะรับรู้ว่า Lotus Emira นั้นไวและคมเอาเรื่อง กดปุ่มสตาร์ทเครื่องที่มีฝาครอบพลาสติกสีแดง เสียงเครื่องยนต์ M139 ดังเข้ามาให้ได้ยินอย่างชัดเจน ตำแหน่งท่านั่งอย่างเตี้ย เบาะไม่ได้สร้างความอึดอัดเหมือนสปอร์ตวางกลางลำที่ผมเคยขับ พวงมาลัย Alcantara มีขีดสีเหลืองอยู่ด้านบนเพื่อเป็นการกำหนดจุดหมุนของพวงมาลัยสไตล์รถแรง เครื่องยนต์สี่สูบเทอร์โบ เมื่อกดคันเร่งจนสุดเพื่อออกตัวจับเวลาในสถานียิมคาน่า อาการแลคของเทอร์โบโผล่ออกมาอย่างชัดเจนแต่ก็เพียงแค่แวบเดียว เหมือน Emira จะถามว่า เอาจริงนะ หลังจากบูสติด ทุกอย่างจะเริ่มสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ  การจับสัมผัสของคันเร่งและการตอบสนองเริ่มคมชัดขึ้นเมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น เครื่องยนต์สี่สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ส่งเสียงดังพอประมาณ เสียงของ M139 ฟังดูดีกว่าเครื่องของ Cayman รุ่นมาตรฐาน มันไม่ได้ส่งเสียงดังจนน่ารำคาญเหมือนกำลังอาละวาด เนื่องมาจากกฎหมายใหม่ของยุโรปที่ไม่รองรับท่อไอเสียจอมระเบิดเสียง ในตำแหน่งคนขับ คุณจะได้เสียงเครื่องยนต์ที่น่าฟังและมีความสุขจากการมองวัดรอบกวาดขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงเครื่องยนต์ฟังดูใกล้เคียงกับ Porsche Cayman GTS 4.0 และ ให้เสียงดีกว่า Cayman 4 สูบ ที่แผดดังจนชาวบ้านหันมามอง

เครื่องยนต์เบนซิน AMG M139 แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,991 ซีซี. TwinScroll Turbocharger เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด DCT Dual Clutch รอบเครื่องยนต์สูงสุด 7,200 รอบต่อนาที มีของดีติดตัวมาจากโรงงานด้วยระบบ Launch Control กำลัง 360 แรงม้า สมน้ำสมเนื้อกับขนาดและน้ำหนักด้วยแรงบิด 430 นิวตันเมตร เร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 4.4 วินาที ท็อปสปีด 275 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับรถสปอร์ตคันเล็กนิดเดียวถือว่าเร็วเอาเรื่อง แรงบิดอยู่ในระดับปานกลางของรถสปอร์ตสมรรถนะสูงในปัจจุบัน มวล 1.4 ตันดูเหมือนจะหนักไปสำหรับแนวคิดในการสร้างรถสปอร์ตจาก Lotus แต่เครื่อง M139 กับเกียร์ DCT ก็สามารถแบกน้ำหนัก 1,440 กิโลกรัมได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำบ่อยครั้ง กำลังสูงสุดที่ 6,800 รอบต่อนาที ตรงเส้นแดงพอดี เนื่องจากเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ของ AMG ไม่ได้มีพลังระดับซูปเปอร์คาร์ ทำให้เร่งเครื่องจนพุ่งเข้าเส้นแดงได้ง่ายและเร็ว ความว่องไวในการวิ่งลัดเลาะกรวยไพล่อนของ Emira นั้นเร็วพอและคุ้มกับเงินที่จ่ายไป รถมีแรงยึดเกาะมากด้วยยางหลัง Pilot Sport Cup ขนาด 295 อัตราทดเกียร์นั้นเหมาะกับการขับแบบสลาลมเป็นที่สุด แทบไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับแป้น Paddle Shift เพราะใช้แค่เกียร์ 1-2 เท่านั้นเอง แต่ประเด็นหลักที่รถสปอร์ตยุคใหม่ต้องมีก็คือ ความสมดุลของพวงมาลัยและตัวถังบวกกับกำลังใกล้เคียง 400 แรงม้า 

Lotus ส่งมอบพวงมาลัยไฮดรอลิกให้กับลูกค้านักขับแทนการใช้พวงมาลัยไฟฟ้าเพื่อเพิ่มฟิลลิ่งของระบบบังคับเลี้ยวให้ใกล้เคียงกับรถตัวแรงในอดีต Emira ขับได้ดีทั้งในสนามแข่งและบนไฮเวย์ พวงมาลัยเร็วและคมกริบ เครื่องยนต์ที่อยู่กลางลำทำให้บาลานซ์ของรถมีความสมดุลเวลาหมุนพวงมาลัยเร็วๆ สลับซ้าย-ขวา นี่คือรถที่ออกแบบมาเพื่อทำให้ควบคุมได้ง่าย ไม่สร้างแรงกดดันให้กับคนขับเเมื่อใช้ความเร็ว แชสซีสปอร์ตทำให้ช่วงล่างแข็งแต่ไม่ได้กระด้างจนขาดความสบาย ยาง Pilot Sport Cup ที่เกาะถนน ระบบเบรกที่มาดมั่นและความมันในการระเบิดพลังงาน 

Emira เป็นรถสำหรับขับเล่นในวันหยุดที่มีราคาแพง แต่ก็ถือเป็นการซื้อประวัติศาสตร์ช่วงสุดท้ายของ Lotus ที่ใช้เครื่องยนต์ มันให้ความสมดุลที่ดีเยี่ยม เร็วและสร้างความตื่นเต้นที่สามารถควบคุมได้ ซอฟแวร์เปลี่ยนเกียร์นวลและเร็วสุด พวงมาลัยไฮดรอลิกส์ให้สัมผัสแนวคลาสสิก เครื่องยนต์ตัวเล็กสมรรถนะสูงของ AMG และการเซ็ตรถในสไตล์เดิมๆ ที่เริ่มจะหายาก ทำให้ Emira กลายเป็นรถที่เหนือชั้นขึ้นมาทันที 

Emira i4 รุ่น First Edition เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ราคา 10,999,000 บาท การผลิตที่ล่าช้าและภาวะเงินเฟ้อทำให้ราคาของ Emira สูงขึ้นอย่างมาก เป็นรถ Lotus คันเล็กที่มีค่าตัวแพงกว่า Porsche Cayman GTS 4.0 รวมถึงยังแพงกว่า Toyota Supra และ BMW M2 หลายล้าน!! เครื่องยนต์ M139 มีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม ปั่นรอบได้เร็วพอที่จะสร้างความตื่นเต้นหวาดเสียวภายในเสี้ยววินาทีหลังจากออกตัวเมื่อเทอร์โบเริ่มต้นการบูส กำลัง 360 แรงม้า แรงบิด 430 นิวตันเมตร เหมาะสมกับการเป็นรถวีคเอนคาร์ขับเล่นในสนามแข่งหรือเอาออกไปแรดในวันหยุด ตอนออกตัวต้องทำใจนิดนึง เพราะเทอร์โบมีอาการหน่วงหรือแลค เนื่องจากรอบต่ำยังไม่มีแรงดันไอเสียมากพอที่จะปั่นให้เทอร์โบบูสติดอย่างรวดเร็ว อาการแลคของ M139 ยิ่งรู้สึกได้ชัดเจนมากขึ้นเมื่อผมเดินลงจาก Eletre R แต่ไม่ใช่ความผิดของ Lotus มันคือสันดานเดิมของ M139 ใน AMG A45 ซึ่งมีอาการแลคของเทอร์โบเหมือนกัน จนเครื่องยนต์รุ่นใหม่ของ C63 ต้องหันไปใช้เทอร์โบไฟฟ้า จุดที่เหนือกว่าของ Emira ก็คือ คุณไม่ต้องไปรอคิวชาร์จไฟในวันหยุดเมื่อขับออกทางไกล เป็นรถเลี้ยวคม เกาะถนนและจอดที่ไหนก็มีคนเดินเข้ามาดู ข่าวร้ายอีกเรื่องก็คือ Lotus จะผลิต Emira ต่อไปจนถึงปี 2027 หลังจากนั้นจะยุติสายการผลิตเพื่อเปลี่ยนเป็นระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าในรถสปอร์ตคันเล็กรุ่นต่อไป นั่นถือว่าน่าเสียดายสุดๆละครับ.