การนำระบบปลั๊กอินไฮบริดในเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบ มาวางในรถสปอร์ต Fastback คันโตแล้วปรับแต่งระบบส่งกำลังกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อให้มีประสิทธิภาพเหนือกว่ารุ่นที่ผ่านมาคืองานสำคัญในการเอาชนะ BMW และ Mercedes-Benz  แชสซีที่เซตมาลงตัว ชุดบังคับเลี้ยวไฟฟ้าควบคุมน้ำหนักปรับแต่งความแม่นยำสำหรับนักขับที่มีความพิถีพิถันมากเป็นพิเศษ Audi A7 Sportback รุ่น 55TFSIe สอดแทรกอยู่ตรงกลางระหว่าง 530e G60  และ E350e W214 เป็นรถสปอร์ตสี่ห่วงรุ่นใหญ่ที่มีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะฝาท้ายไฟฟ้าและสปอยเลอร์หลังที่ทำงานอัตโนมัติ  A7 คือของเล่นคนรวยที่ช่วยทำให้การเดินทางสะดวกสบายและรวดเร็ว ดึงดูดสายตาด้วยเรือนร่างที่สวยงามโดยเฉพาะส่วนหน้าและแนวลาดของผืนหลังคา การขับที่โดดเด่นโดนใจของมันสามารถรับมือกับถนนสายคดเคี้ยวด้วยแรงยึดเกาะและพละกำลัง บวกความประณีตของงานตกแต่งภายใน คุณสามารถหาซื้อมันได้ในราคา 4,660,000 บาท ซึ่งแพงกว่าทั้ง 530e และE350e ถามว่าทำไมไม่เทียบกับ CLS หรือ 640i GT ก็ขอบอกว่าเนื่องจาก A7 รุ่นนี้ มีเครื่อง 2 ลิตร เทอร์โบ กับระบบปลั๊กอินไฮบริดเหมือนกับคู่แข่งตราดาวและตราใบพัด ระบบขับเคลื่อนที่คล้ายกันแต่ราคาโดดไป 6-7 แสนบาท ไม่น่าจะเป็นการเปรียบมวยที่เกินเลยความจริง...  

...

เมื่อสังเกตให้ดี A7 Sportback มีจุดเด่นตรงส่วนหน้าก็คือกระจังหน้าที่ออกแบบให้มีความกว้างและวางตำแหน่งต่ำกว่าเดิม กระจังใหม่ล้อมกรอบด้วยชิ้นงานโครเมี่ยมสีเงินบางเฉียบ มีการประดับโครเมียมเพิ่มเติมลงไปบนชุดกระจัง สปอยเลอร์หน้าออกแบบให้มีเหลี่ยมมุมที่ทับซ้อนกันอย่างลงตัว ช่องรับอากาศ Side Air Inlet เพื่อนำอากาศเข้าไประบายความร้อนให้กับชุดเบรกหน้า ชายล่างของสปอยเลอร์หน้าติดตั้งครีบรีดอากาศ Front Blade ฝากระโปรงหน้าเทลาดสอดรับกับแนวหลังคาที่ค่อยๆ ลดระดับลงไปยังส่วนท้ายอย่างสวยงาม มิติตัวถังของ Audi A7 Sportback 55TFSIe มีความยาว 4,969 มิลลิเมตร กว้างมากถึง 1,908 มิลลิเมตร และมีสัดส่วนความสูงอยู่ที่ 1,422 มิลลิเมตร ความยาวของฐานล้อ 2,926 มิลลิเมตร พื้นที่เก็บสัมภาระใต้ฝาท้ายมีขนาดความจุ 535 ลิตร และเมื่อพับเบาะหลังราบลงกับพื้นจะเพิ่มความจุของห้องเก็บของได้ถึง 1,390 ลิตร ส่วนน้ำหนักตัวรถทั้งคันอยู่ที่ 1,915 กิโลกรัม

...

...

Audi ให้ความสำคัญกับระบบส่องสว่าง เพื่อเปิดมุมมองที่ชัดเจนสูงสุดเมื่อขับตอนกลางคืนบนถนนที่ไม่มีแสงไฟ ไฟหน้า HD Matrix LED Headlights Technology ติดตั้งหลอด LED ในตำแหน่งไฟเลี้ยว 12 หลอด พร้อมไฟ LED ที่ใช้ส่องมุมด้านข้างของตัวรถ ไฟหน้าทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ รองรับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครอบคลุม ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติไปตามเซนเซอร์และโซนาร์ตรวจจับวัตถุต่างๆ บนถนน HD Matrix LED ใน A7 Sportback รุ่น 55TFSIe Quattro ปรับมุมของแสงเพื่อเพิ่มระยะของการมองเห็นในที่มืด ช่วยลดมุมอับของแสงไฟขณะขับเคลื่อนอยู่ในโค้งหรือเคลื่อนที่ผ่านทางแยก ลดหรือยกไฟสูงแบบอัตโนมัติ เป็นระบบส่องสว่างของ Audi ยุคใหม่ที่ก้าวล้ำ เทียบเคียงกำลังในการส่องสว่างของ Adaptive LED ใน BMW และ Multi Beam LED ใน Mercedes-Benz ยุคใหม่ HD Matrix LED Headlights Technology มีกำลังในการส่องสว่างไกล 600 เมตร มาพร้อมฟังก์ชั่นปรับตั้งขณะขับขี่ท่ามกลางหมอกลงจัดหรือฝนตกหนัก รวมถึงสภาพการต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นในเวลากลางคืน

...

รถที่มีรูปทรงแบบ GT หรือ gran turismo เสาหน้ามีองศาที่ลาดเอียงแบบสมส่วน ไหลลื่นไปกับแนวผืนหลังคาที่ค่อยๆ โค้งลงไปที่ส่วนท้าย ด้านข้างของ A7 มีเส้นที่ชายล่างของบานประตูหน้าลากไปจนถึงประตูบานหลัง สัญลักษณ์ S Line เล็กแปะติดอยู่บริเวณแก้มข้าง ล้อมกรอบกระจกด้วยชิ้นงานอัลลอยสีเงินเพื่อยกระดับของความหรูหรา  Audi A7 Sportback 55TFSi e Quattro S Line และ S Line Black Edition ยัดล้ออัลลอยลายซี่ขอบ 20 นิ้ว ห่อรัดด้วยยาง Bridgestone Turanza  ไซส์ 255/40 R20 101Y

ไฟท้ายทรงยาวคล้าย Porsche Panamera เชื่อมต่อตลอดแนวของส่วนท้าย ไฟท้าย LED รวมถึงไฟเลี้ยวและไฟถอยมีความคมชัดสูงจากการปรับแต่งให้มุมมองที่ชัดเจนทั้งไฟเลี้ยวและไฟเบรก กันชนหลังสอดรับกับแนวของไฟท้าย ส่วนฝาท้ายเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า วิงหลังทำงานในระบบอัตโนมัติหรือจะกดปุ่มสั่งงานให้ยกคาเอาไว้ก็ได้ สำหรับไฟเบรกดวงที่สามซึ่งเป็นตำแหน่งที่ต้องการความชัดเจนในการมองเห็นยกขึ้นไปติดอยู่ตรงกลางของชายผืนหลังคา

ห้องโดยสารของ A7 Sportback 55TFSie ปรับแต่งด้วยอุปกรณ์ภายในคล้ายคลึงกับ Audi A8 และ Audi Q8 e-Tron ลดปุ่มหรือสวิตช์สั่งงาน ทำให้ A7 ปลั๊กอินไฮบริดมีความก้าวล้ำในด้านของอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการขับเคลื่อน ด้วยรูปแบบการสั่งงานด้วยระบบสัมผัสที่หน้าจอพร้อมเสียงคลิกเบาๆ กับแรงสั่นสะเทือนนิดๆ เพื่อทำให้ผู้ใช้งานรับรู้ถึงการตอบสนองในคำสั่งเมื่อกดสัมผัสลงไปที่สัญลักษณ์ต่างๆ บนหน้าจอภาพเพื่อปรับตั้งหรือสั่งงานต่างๆ แดชบอร์ดคอนโซลมีรูปทรงที่คล้ายคลึงกับ Audi Q8 ใช้วัสดุคุณภาพสูงไม่ว่าจะเป็นหนังสังเคราะห์ พลาสติกเกรดสูง อะลูมิเนียม ผ้าบุหลังคา และพรมชั้นดี

เบาะของ A7 Sportback Plug in Hybrid ที่ขายในประเทศไทยโดย Audi Thailand ใช้เบาะหุ้มหนัง Valcona หนังสีเทา-ดำ เย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีขาว เบาะนั่งคู่หน้าออกแบบให้มีรูปทรงแบบเบาะของรถสปอร์ต ต่ำลงมาจากพนักพิงศีรษะของตัวเบาะประทับตราสัญลักษณ์ S line เบาะนั่งคู่หน้าปรับตั้งท่านั่งได้อย่างครอบคลุมด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชั่นบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งผู้ขับขี่ เมื่อกดสวิตช์ดับเครื่องยนต์ เบาะคนขับจะเลื่อนถอยหลังเพื่อเปิดพื้นที่สำหรับการก้าวออกจากห้องโดยสาร และเมื่อสตาร์ตเครื่องยนต์เสร็จเรียบร้อย เบาะจะเลื่อนกลับมาอยู่ในตำแหน่งล่าสุดก่อนการดับเครื่อง เบาะคู่หน้ามีพื้นที่เหลือเฟือ ทั้งพื้นที่วางเท้า พื้นที่เหนือศีรษะ และพื้นที่บริเวณหัวไหล่ที่กว้างขวางคล้ายกับห้องโดยสารของ BMW New Series-6 GT

จอแสดงข้อมูลการขับขี่ Virtual cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว ติดตั้งอยู่ตรงหน้าในตำแหน่งคนขับ เป็นมาตรวัดจอภาพแบบ TFT thin film transistor LCD หน้าปัดมาตรวัดสามรถปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้อย่างหลากหลาย เช่น ปรับให้ชุดมาตรวัดรอบและความเร็วเล็กลงโดยนำเอาเนวิเกเตอร์ หรือระบบนำทางด้วยดาวเทียมมาไว้ตรงกลางจอภาพ ปรับให้ขนาดของมาตรวัดรอบและมาตรวัดความเร็วมีขนาดที่ใหญ่กว่าปกติโดยสามารถนำข้อมูลต่างๆ มาแสดงไว้ตรงกึ่งกลางระหว่างมาตรวัดทั้งสอง จอภาพมาตรวัด TFT thin film transistor LCD ยังหลอมรวมการแสดงผลแบบ MID หรือ multi information display โดยทำการแสดงผลของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ระบบมัลติมีเดีย วัน เดือน ปี และอุณหภูมิภายนอกห้องโดยสาร คำนวนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง แจ้งเตือนการใช้พลังงาน รวมถึงเป็นจอมอนิเตอร์เล็กๆ ของระบบความปลอดภัย

แดชบอร์ดคอนโซลทรงล้ำอนาคตของ A7 Sportback 55TFSIe ติดตั้งจอภาพมอนิเตอร์กลาง 2 จอภาพ รองรับการแสดงผลในส่วนของระบบ Infotainment ระบบนำทางด้วยดาวเทียมที่ละเอียดและปรับการแสดงผลได้อย่างหลากหลาย จอกลางเป็นศูนย์กลางของสมองกลประจำรถ หรือ MMI Multi Media Interface รวมถึงกล้องมองภาพแบบ 360 องศารอบรถ ช่วยให้ความปลอดภัยเมื่อต้องขับออกจากที่จอดรถคับแคบหรือบ้านที่มีเด็กเล็ก

จอภาพด้านล่างมีขนาด 8.6 นิ้ว แสดงผลระบบควบคุมอุณหภูมิ ฮีตเตอร์ ระบบหมุนเวียนอากาศภายในห้องโดยสาร พร้อมระบบปรับอากาศแบบ 4 โซน การควบรวมระบบสั่งงานแบบ MMI Navigation plus with MMI touch response เป็นจอแสดงผลด้วยระบบสัมผัสหรือ Touch Control หรือจะสั่งงานด้วยการเขียนหรือสั่งงานด้วยเสียงก็มีการทำงานที่รวดเร็วแม่นยำ MMI ออกแบบให้สามารถต่อเชื่อมกับโทรศัพท์ในระบบบูลธูทได้ง่ายและสะดวกรวดเร็วในการเชื่อมต่อ ใช้เวลาไม่นานก็สามารถปรับตั้งระบบ MMI ให้เชื่อมกับโทรศัทพ์เพื่อการรับหรือวางสายโทรเข้า-ออก รวมถึงการเล่นเพลงในมือถือ จอบนมีขนาดความกว้าง 10.1 นิ้ว พร้อมความคมชัดในระดับสูงสุด ใช้การออกแบบระบบที่ง่ายสำหรับการเชื่อมต่อ Bluetooth DVD, CD, MP3 และ USB

Audi smartphone interface เชื่อมต่อด้วยวความรวดเร็วผ่าน multimedia interface control system ซึ่งเปลี่ยนจากปุ่มควบคุมทรงกลมใน Audi รุ่นอื่นๆ มาเป็นการสัมผัสเบาๆ ที่หน้าจอ 10.1 นิ้ว พร้อมเสียงคลิกเบาๆ ผ่านมาที่ปลายนิ้วเพื่อแสดงการตอบสนองของคำสั่ง (คล้ายกับ Audi Q8 และ Audi A8) ส่วนจอภาพด้านล่างเป็นจอควบคุมแบบมัลติฟังก์ชั่นสั่งงานด้วยการสัมผัสหน้าจอเช่นเดียวกัน พร้อมการสั่งงานในรูปแบบ haptic feedback มีขนาดความกว้าง 8.6 นิ้ว รองรับงานปรับค่าต่างๆ ของตัวรถและระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล ปุ่มควบคุมระบบ Auto Start/Stop ปุ่มยกหรือพับเก็บวิงหลังแบบไฟฟ้า Audi A7 Sportback ยังติดตั้งไฟเรืองแสงในห้องโดยสาร Contour/ambient lighting ปรับตั้งสีสันของหลอด LED ได้ 5 รูปแบบ เช่น Solar / Impulse / Vision / Caribbean และ Invidivual

พวงมาลัยของ A7 Sportback ใช้ทรงแบบสามก้านฐานตัด รูปแบบของพวงมาลัยมีขนาดที่กำลังดีคล้ายกับ Audi A8 หนังที่ใช้ห่อหุ้มรอบวงจับได้กระชับมือดีแต่แป้น Paddle Shift มีขนาดเล็กไปนิด พวงมาลัยของ S Line ยังแปะตราสัญลักษณ์รูปตัว S บริเวณก้านวงด้านล่าง ส่วนปุ่มและสวิตช์สั่งงาน ที่ก้านวงพวงมาลัยด้านขวาเป็นที่อยู่ของสวิตช์สั่งงานด้วยเสียง ปุ่มรับหรือวางสายโทรศัพท์บูลธูท ปุ่มเร่งหรือลดเสียงจากลำโพงและปุ่มเล็กๆ สำหรับการเลือกสถานีวิทยุหรือการเลือกเพลงจากการเล่นผ่าน USB, DVD, CD, MP3 สวิตช์ที่ก้านวงด้านซ้ายสำหรับการปรับตั้งหรือเลือกแสดงผลผ่านจอภาพมาตรวัด Virtual cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว ออกแบบให้ใช้งานได้ง่ายและตอบสนองรวดเร็วเมื่อกดสั่งงาน สำหรับซุ้มเกียร์ก็ยังคงความหรูหราของชาติพันธุ์รถซาลูนชั้นดีจากงานตกแต่งด้วยวัสดุอะลูมิเนียมกับดีไซน์ของคันเกียร์อัลลอยที่สวยงามจับถนัดไม้ถนัดมือดีแท้ 

ระบบเสียงพรีเมียม Bang & Olufsen Advanced 3D sound system พร้อมระบบเสียง 3 มิติ ลำโพง 16 ตำแหน่งรอบห้องโดยสาร กับซับวูฟเฟอร์อีกหนึ่งตำแหน่งติดตั้งที่บริเวณล้ออะไหล่ใต้ฝาท้าย โปรแกรม Audi Driver Assist เน้นความอิสระ ความเงียบสงบ พร้อมเสียงดนตรีที่สมบูรณ์แบบที่ให้ความคมชัดสมจริงของเครื่องดนตรีที่เปล่งผ่านลำโพงคุณภาพสูง 

การวางตำแหน่งของลำโพง และการลดค่าความถี่ที่กลายเป็นเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร เป็นส่วนผสมที่สำคัญในการออกแบบระบบเสียงติดรถยนต์ ความสบายจากความผ่อนคลายของเบาะโดยสารและเสียงที่ปลดปล่อยออกมาจากลำโพงคุณภาพสูง เน้นย้ำถึงความสำคัญด้านอารมณ์ของคนขับและผู้โดยสาร นั่นคือ การไม่มีเสียงรบกวนที่คอยสร้างความรำคาญในขณะรับฟังดนตรี วิศวกรของ Audi และ Bang & Olufsen ร่วมมือกันสร้างเวทีเสียงภายในห้องโดยสารของ A7 Sportback โดยมุ่งไปที่การกระจายเนื้อหาคุณภาพสูง ด้วยค่าที่เท่าเทียมกันในทุกตำแหน่ง ให้กับผู้ฟังทุกคนที่นั่งอยู่บนเบาะของ A7 Bang & Olufsen Advanced 3D sound system พร้อมลำโพงราคาแพง ส่งมอบเสียงพร้อมมิติที่ครบถ้วน ระบบเสียงของ Bang & Olufsen ใช้ เทคโนโลยีพิเศษเพื่อตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ของมนุษย์อย่างล้ำลึก มอบเสียงที่ครบถ้วน ด้วยความแม่นยำทางจิตวิทยาอะคูสติกขั้นสูง ห้องโดยสารของ A7 Sportback ถูกวิเคราะห์การกระจายเสียงในทุกตำแหน่งของเบาะที่นั่ง วิศวกร Tonmeisters จากประเทศเดนมาร์ก แบ่งฟีดเจอร์ของเสียงออกเป็นส่วนประกอบเชิงพื้นที่เพื่อทำให้เสียงเพลงก้องกังวานและกระจายอยู่ทั่วทั้งห้องโดยสารด้วยความคมชัด ไม่รบกวนโสตประสาทจากค่าเรโซแนนท์ถูกปรับให้ลดต่ำลงมากจนไม่ส่งผลกระทบต่อการรับฟังในขณะที่วอลลุ่มถูกเร่งเกือบจะเต็มสเกล 

อัลกอริทึม Upmix Symphoria® อันชาญฉลาดของ Fraunhofer Institute วิศวกรของ Bang & Olufsen ปรับแต่งระบบเสียงอย่างพิถีพิถันเพื่อทำให้ลำโพงปลดปล่อยเสียงแบบ 3 มิติที่เป็นธรรมชาติและสมจริง ระบบนี้ เหนือชั้นกว่าระบบเสียงรอบทิศทางแบบคลาสสิก (หรือแบบเก่า) ที่ใช้กันอยู่ทั่วไป ค่าสัญญาณความเร็วสูงถูกส่งผ่านลำโพงเสริมที่ส่วนบนของเสา A ซึ่งอยู่ในตำแหน่งใกล้กับหูของคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า  เวทีเสียง 3 มิติแบบใหม่ เพิ่มความคมชัดและความลึกให้กับประสบการณ์การฟังเพลง

ข้อมูลจำเพาะ Bang & Olufsen Advanced 3D sound system

ลำโพง 16 ตัว
ช่องสัญญาณขยายเสียง 15 ช่องทาง
กำลังขับรวม 705 วัตต์
อัลกอริทึม Symphoria® 3D จาก Fraunhofer IIS
ระบบชดเชยเสียงรบกวนในรถยนต์ (VNC)

ระบบขับเคลื่อนของ Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro ปลั๊กอินไฮบริด PHEV ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซินแถวเรียงสี่สูบ เทอร์โบชาร์จ ขนาด 2 ลิตร กำลัง 185 กิโลวัตต์ 252 แรงม้า แรงบิด 370 นิวตันเมตร มอเตอร์ไฟฟ้า permanently excited synchronous motor (PSM) กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร มอเตอร์เสริมแรงติดตั้งร่วมกับชุดคลัตช์แยก รวมอยู่ในชุดส่งกำลัง S tronic 7 สปีด พร้อมเทคโนโลยี ultra ในระบบ Quattro เพื่อถ่ายเทแรงบิดไปยังล้อขับเคลื่อนทั้งสี่ล้อ กำลังขับรวมของเครื่องยนต์และมอเตอร์ รวม 270 กิโลวัตต์ หรือ 367 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ในรอบต่ำแค่ 1,250 รอบต่อนาที A7 PHEV เร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ใน 5.7 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 250 กม./ชม. ระยะทางการใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อน (EV Mode 100%) ไกล 40 กิโลเมตร

มอเตอร์ไฟฟ้าของ A7 Sportback 55 TFSI e ใน EV Mode เร่งความเร็วสูงสุดได้ 135 กม./ชม. แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ประกอบด้วยเซลล์ 104 เซลล์ เก็บพลังงานได้ 14.1 กิโลวัตต์/ชั่วโมง แรงดันไฟฟ้า 381 โวลต์ แบตเตอรี่ออกแบบให้วางอยู่ใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระ พร้อมชุดควบคุมอุณหภูมิเพื่อการจ่ายไฟด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด (35-37 องศาเซลเชียส) วงจรระบายความร้อนของแบตเตอรี่เชื่อมต่อกับวงจรน้ำหล่อเย็นของระบบระบายความร้อนและระบบปรับอากาศ พื้นที่เก็บสัมภาระส่วนท้ายเมื่อพับเบาะหลังจะเพิ่มเป็น 1,235 ลิตร เนื่องจากการออกแบบแบตเตอรี่ให้แบนเรียบไม่กินพื้นที่เก็บของ

ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อใน Audi A7 Sportback 55 TFSI e มาพร้อมกับชุดขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro พร้อมเทคนิคพิเศษ ด้วยการควบคุมเพลาขับเคลื่อนที่ทำงานเร็วปานสายฟ้าฟาด ในสภาพการณ์ปกติที่ผู้ขับไม่ต้องการกำลังแรงบิดส่งไปยังล้อหลัง ระบบ Quattro ultra จะตัดวงจรในเพลาขับเคลื่อนออกจากเฟืองท้ายหลัง โดยเอื้อประโยชน์ให้กับล้อและเพลาขับฝั่งนั้นได้หมุนอย่างอิสระ และเมื่อไม่มีการล็อกจากตัว Diff หลัง เพลาขับฝั่งตรงกันข้ามก็จะไม่มีการหมุนโครงยึดเฟือง เฟืองบายศรีและเพลาใบพัด ลดการสูญเสียกำลัง ลดแรงเสียดทานและทำให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลดลง ในกรณีที่ผู้ขับต้องการเทแรงบิดลงไปยังทุกล้อเพื่อเอาตัวรอดในสภาพถนนที่เปียกลื่นหรือขับลุยทางวิบาก ระบบขับสี่ Quattro with Ultra Technology ใช้เซนเซอร์ถ่ายเทข้อมูลไปยังหน่วยประมวลผล ช่วยในการประเมินผลมีความรวดเร็วและแม่นยำ สมองกล electronic control unit จะตรวจจับ input จากค่าของพวงมาลัยและคันเร่งไฟฟ้า โดยสั่งการล่วงหน้าไปยังโหมดขับเคลื่อนที่ผู้ขับอาจเลือกโหมดเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเอง ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งไปยังสมองกลไฟฟ้า แล้วแปรเปลี่ยนเป็นการสั่งงาน ไม่ว่าจะส่งแรงบิดไปยังทุกล้อ หรือเทลงไปที่ล้อหลัง เมื่อล้อหน้าสูญเสียการยึดเกาะ Quattro with Ultra Technology ของ Audi ยังเรียนรู้เพื่อครอบคลุมลักษณะและพฤติกรรมการขับของเจ้าของรถ

electronic control unit ใน Quattro with Ultra Technology ทำหน้าที่ตรวจสอบอุณหภูมิภายนอก รับข้อมูลของแรงยึดเกาะ และสั่งงานแปรผันแรงบิดไปยังล้อหน้า/หลังอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ภายใต้การควบคุมที่แม่นยำ เมื่อระบบตรวจพบว่าล้อหน้าเริ่มสูญเสียแรงยึดเกาะ Quattro with Ultra Technology จะลดแรงบิดแล้วถ่ายโอนแรงบิดไปยังล้อที่ยังคงยึดเกาะกับถนนได้ดี แผ่นคลัตช์ของ Haldex เป็นส่วนหนึ่งของกลไก Quattro ซึ่งถูกใช้ในรถยนต์ประสิทธิภาพสูงของ Audi ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ตัดวงจรการขับเคลื่อนให้เหลือแค่ 2 ล้อ หรือกระจายแรงไปพร้อมๆ กันทั้งสี่ล้อ แต่ Quattro with Ultra Technology ยังเฝ้าระวังในการเฉลี่ยแรงบิดไปยังเพลาขับเคลื่อนของแต่ละฝั่ง คล้ายกลไกการทำงานของ Diff ล็อกตัวกลาง ระบบใหม่นี้จะทำงานเร็วขึ้นและมีน้ำหนักเบา Quattro with Ultra Technology มีน้ำหนักเบากว่า Quattro เวอร์ชันเก่าถึง 4 กิโลกรัม

Quattro with Ultra Technology สามารถประเมินผลด้านความจำเป็นในการทดกำลังลงไปยังล้อทั้งสี่ เมื่อรวมเข้ากับระบบกระจายแรงบิดหรือ Sport Differential ซึ่งหมายถึงเฟืองท้ายแบบกระจายแรงบิดบนเพลาขับหลัง จากความสามารถของสมองกลไฟฟ้าที่เรียนรู้พฤติกรรมการขับ ระบบจะเทแรงบิดแบบเจาะจงลงไปยังล้อนั้นๆ ได้โดยตรง เพื่อปรับแต่งแรงบิดในล้อแต่ละข้างให้เข้ากับสไตล์และการขับของเจ้าของรถ เพื่อความสมดุลสูงสุดในการขับเคลื่อน ตลอดการใช้งาน จะดีแค่ไหนหากระบบขับเคลื่อน 4 ล้อมีความฉลาดหลักแหลมพร้อมที่จะเรียนรู้สไตล์การขับของคุณอยู่ตลอดเวลา

การหมุนเวียนพลังงานไฟฟ้าหรือการชาร์จขณะขับเคลื่อน กระทำผ่านเพลาขับเคลื่อนล้อหน้า ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ultra ออกแบบเฉพาะ A7 Gran Turismo ปรับความสมดุลของแรงบิด ใช้งานง่ายด้วยโหมดการขับขี่ 3 โหมด สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าไกลประมาณ 40 กิโลเมตร การผสมผสานระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปภายในโหมด EV ระบบบริหารพลังงานจะสั่งงานให้รถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว และโหมด EV จะตั้งค่าพื้นฐานทุกครั้งที่กดปุ่มสตาร์ต ในโหมดการขับขี่ที่สอง Battery Hold ระบบการจัดการจะรักษาความจุของแบตเตอรี่ไว้ที่ระดับล่าสุด เพื่อครอบคลุมระยะทางใช้งานด้วยไฟฟ้า สำหรับโหมดไฮบริดจะทำงานแบบอัตโนมัติตลอดสถานะของการขับเคลื่อน พร้อมฟังก์ชันแนะนำเส้นทางในระบบนำทาง หรือสั่งงานผ่านคนขับโดยใช้ปุ่มโหมดขับเคลื่อน ในโหมด Battery Hold ของ A7 PHEV มีการทำงานร่วมกันระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยเน้นการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทำให้อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำ โดยเฉพาะการขับท่ามกลางสภาพการจราจรในเมือง ระบบจะเลือกระหว่างการขับเคลื่อนแบบอิสระ ผสมผสานกันระหว่างมอเตอร์และเครื่องยนต์ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การใช้คันเร่ง โดยมีระบบสะสมพลังงาน Regenerative braking ผสมผสานการชาร์จไฟได้กว่า 35 กิโลวัตต์ โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่เป็นตัว Regenerative

ระบบชาร์จไฟขนาดกะทัดรัดของ Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro ใช้สายไฟความต้านทานสูง พร้อมปลั๊กแบบ Type 2 สำหรับใช้กับขั้วชาร์จสาธารณะทั่วไป ระบบชาร์จใน A7 PHEV ประกอบด้วยสายไฟสำหรับปลั๊กไฟในบ้านหรือสถานีชาร์จไฟของรถ EV พร้อมชุดควบคุมการชาร์จ ระบบชาร์จไฟมีการแสดงสถานะด้วยหลอด LED ควบรวมกับฟังก์ชันด้านความปลอดภัย เช่น การตรวจสอบอุณหภูมิระหว่างชาร์จ หรือการป้องกันหากกระแสไฟตก ชุดสายชาร์จของ Audi A7 PHEV มีคลิปติดผนังแบบยึดบล็อก สำหรับการชาร์จ CEE สามเฟส 400 โวลต์ 16 แอมป์ต่อเฟส ใช้เวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมง ชาร์จได้สูงสุด 7.4 กิโลวัตต์ ส่วนปลั๊กไฟบ้าน ขนาด 230 โวลต์ สามารถชาร์จแบตเตอรี่เปล่าให้เต็มในเวลาประมาณ 7 ชั่วโมง

ระบบรองรับหรือช่วงล่างของ Audi A7 Sportback PHEV รุ่นใหม่ที่นำเข้ามาขายในไทย เน้นการควบคุมแบบ Sport ด้านหน้าใช้ช่วงล่างแบบดับเบิ้ลวิชโบน ปีกนกอะลูมิเนียมคู่และเหล็กกันโคลง แขนยึดโยงของช่วงล่างด้านหน้าทำจากอะลูมิเนียมเพื่อลดน้ำหนักใต้สปริงและให้ความรู้สึกของการถ่ายทอดประสิทธิภาพการยึดเกาะที่รวดเร็ว สำหรับช่วงล่างหลังเป็นแบบมัลติลิงก์ จุดยึดต่างๆ ของช่วงล่างด้านหลังยังคงใช้อะลูมิเนียมเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือศักยภาพของการควบคุมแชสซีไม่ให้ออกอาการที่ขัดแย้งกับไดนามิกของตัวรถ ช่วงล่างของ A7 Sportback PHEV แม้จะไม่ใช่ช่วงล่างแบบ Air Suspension แต่มีการปรับเซตให้ลงตัวและเหมาะกับรูปแบบและสไตล์ GT หรือ gran turismo เน้นไปที่การลดอาการโคลงตัว

โช้คอัพและสปริงแบบมาตรฐาน การปรับตั้งช่วงล่างมาจากโรงงานด้วยช่างฝีมือขั้นเทพที่เข้าอกเข้าใจความต้องการของคนที่จ่ายเงิน 4.6 ล้าน ทำให้การผ่องถ่ายหรือดูดซับแรงถ่ายแรงสั่นสะเทือนรวมกับการยึดเกาะเมื่อเทโค้งเร็วๆ อยู่ในระดับที่ดีเอามากๆ ถือเป็นเรื่องที่น่าจดจำสำหรับช่วงล่างที่ดีในรถทดสอบที่มีความไฮเทคคันนี้ เจ้าของรถหลายคนรู้สึกดีกับช่วงล่างแบบธรรมดาสามัญใน Audi Q7 45TDi และตื่นเต้นกับความไฮเทคของช่วงล่างแบบ Air Suspension ใน Audi Q7 45TFSi รุ่นเบนซินและ Audi Q8 55TFSi Sport SUV พรีเมียม ซึ่งคนขับสามารถปรับระดับความสูง-ต่ำ หรือค่าความแข็ง-อ่อนของช่วงล่างได้

สปริงและโช้คอัพแบบตายตัวปรับตั้งไม่ได้ ให้ความรู้สึกนุ่มนวลบนถนนที่ไม่เรียบ ช่วงล่างเกาะถนนหนึบด้วยระบบขับสี่และยาง Bridgestone Turanza 255/40 R20 101Y ยาง 20 นิ้วที่เหมาะสมกับแรงบิด 500 นิวตันเมตร การเก็บเสียงที่ดีทำให้เสียงยางเริ่มดังเบาๆ ที่ 120 กิโลเมตร เมื่อเร็วขึ้นก็ไม่ได้ดังอะไรมากรวมไปถึงเสียงลมที่ปะทะกับตัวถังในย่านความเร็วสูงก็ไม่ได้รบกวนโสตประสาทคนในรถแต่อย่างใดทั้งสิ้น แม้จะหนักเกือบๆ สองตันแต่ขับแล้วให้ความรู้สึกเบาจากระบบควบคุมและแปรผันน้ำหนักของพวงมาลัยไฟฟ้า เป็นรถที่ปราดเปรียวและมีการตอบสนองของทุกองคาพยบดีคันหนึ่งในวงการรถหรูของไทย Audi พยายามนำเสนอรถสปอร์ตจีทีผ่านแชสซีที่แสดงออกถึงไดนามิกที่ยอดเยี่ยมของมัน เป็นรถที่ขับแบบสุขุมหรือบู๊เต็มข้อก็ได้ทั้งนั้น

Audi A7 เครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดมีการเก็บเสียงที่อยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม รถที่เน้นบุคลิกผู้บริหารระดับสูงที่สุขุมนุ่มลึก เครื่องยนต์ 2 ลิตร Turbo มอเตอร์ขับเคลื่อนและระบบขับสี่ล้อ  ถูกจูนให้มีเสียงการทำงานที่เงียบไปด้วย แม้จะลงคันเร่งจนรถพุ่งลิ่วๆ คุณก็จะได้ยินแค่เสียงการทำงานเบาๆ หรือเสียงครางในรอบสูงของเครื่องยนต์เบนซิน 2 ลิตรที่ดังแบบสุภาพ ลงคันเร่งลึกๆ ในช่วงออกตัวจากสัญญาณไฟจะได้ยินเสียงหวิดเบาๆของมอเตอร์ที่กำลังเสริมแรงบิดให้กับเครื่องยนต์ อัตราการไต่ความเร็วไม่ได้ออกมาในลักษณะรถสปอร์ตที่ดึงจนหลังติดเบาะ ความเนี้ยบแบบผู้ดีเกิดจากการผสมผสานระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้ากับเครื่องยนต์เบนซิน ถ่ายเทเป็นแรงบิดผ่านไปยังล้อทั้งสี่ ความหรูหราของอุปกรณ์ภายนอกภายใน หลอมรวมกับการจูนให้อารมณ์ของการขับออกมาในลักษณะสุภาพชนหรือเป็นยานยนต์ของพวกผู้ลากมากดี A7 ไม่ใช่รถที่จะทำตัวเอะอะโวยวาย มันวิ่งเงียบกริบและเร็วอย่างเหลือเชื่อ มีความสงบภายในห้องโดยสารราวกับกำลังนั่งอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ! เครื่องยนต์เทอร์โบมีอาการรอรอบน้อยมากเนื่องจากมีมอเตอร์คอยช่วย แรงบิดของทั้งสองระบบขับเคลื่อน ตอบสนองอย่างตรงไปตรงมา ขึ้นอยู่กับฝ่าเท้าของคนขับและโหมดของการขับเคลื่อนที่คอยระแวดระวังองศาคันเร่ง กดลงไปเท่าไหร่กลับมาให้เท่านั้นแบบพอดี ไม่ล้นหรือเกินจนต้องใช้เบรกบ่อยครั้ง 

เกียร์อัตโนมัติ S tronic 7 สปีด มีมอเตอร์ขั้นอยู่ตรงกลางระหว่างเครื่องกับเกียร์ แม้อัตราทดจะเป็นรองเกียร์ ZF 8 สปีดของ Q8 แต่การทำงานที่เรียบเนียน เปลี่ยนเกียร์เร็วและไหลลื่น เกียร์ในโหมดออโต้ทำหน้าที่แปรผันอัตราทดไปตามความเร็ว ปราศจากอาการกระตุกกระชาก คลัตช์จับเร็วโดยไม่มีเสียงการทำงานของกลไกเฟืองเกียร์ให้รำคาญใจ การผ่องถ่ายอัตราทดในเมืองขึ้นอยู่กับโหมดการขับที่สามารถเลือกได้ใน audi drive select ซึ่งเป็นลักษณ์สวิชท์เล็กๆบรรจุอยู่ใต้จอภาพขนาด 8.5 นิ้ว

อัตราเร่ง 5.7 วินาที ของ A7 เครื่องปลั๊กอิน 2 ลิตร ช้ากว่า A7 เครื่อง V6 3 ลิตร แค่ 0.4 วินาทีเกิดจากการกระทุ้งกำลังของเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบแบบแปรผัน Twin Scroll คันเร่งในโหมด Dynamic ตอบสนองเร็วจัดอัตราเร่งที่จิ้ดจ๊าด พุ่งไปข้างหน้าด้วยความมั่นคงจนไม่รู้สึกว่าเร็ว แต่จริงๆแล้วมันเร็วโคตรๆ A7 หนัก 1.9 ตัน ไม่หนักแน่นเท่ากับ A8 ผู้พี่ที่ทรงตัวได้อย่างสุดยอดเมื่อขับเร็วเนื่องจากฐานล้อที่ยาวกว่ารวมไปถึงน้ำหนักที่มากกว่า ทำให้ A8 เป็นรถที่เร่งความเร็วทางตรงได้อย่างมั่นคง แต่ A7 ก็นับว่าดีมากแล้ว ฟิลลิ่งอยู่ในระดับเดียวกับ Mercedes-AMG CLS53 /BMW 640GT ให้ทั้งความนิ่งและแรงพุ่งทะยาน ความฉับไวในการตอบสนองแปรเปลี่ยนเป็นความนวลทั้งๆที่ขับอย่างเร็วก็ยังนิ่งเฉยราวกับทองไม่รู้ร้อนไม่มีอาการโคลงหรือส่าย ในย่านความเร็วสูง พวงมาลัยแม่นและมีน้ำหนักที่สุดยอดซึ่งยิ่งทำให้ควบคุมได้ง่าย (คล้ายๆ Panamera แต่เบากว่านิดหน่อย) BMW 630d GT M-Sport เป็นรถ GT ที่ทรงตัวและถ่ายน้ำหนักได้อย่างสุดยอดทั้งทางตรงและในโค้ง แต่คู่แข่งของมันอย่าง A7 Sportback ก็ไม่ยอมน้อยหน้า แถมยังเข้ามาประกบด้านข้างพร้อมที่จะแซงเมื่อเจอกันบนเส้นทางภูเขา ด้วยระบบขับเคลื่อน Ultra Quattro ทำให้ A7 Sportback 55TFSIe ได้เปรียบอยู่บ้างในโค้งมุมแคบซึ่งก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของคนขับ

โหมด EV เครื่องยนต์ดับและระบบขับเคลื่อนจะเปลี่ยนไปใช้พลังงานไฟฟ้าล้วน และเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรวดเร็วในกรณีเร่งแซง เครื่องยนต์จะเริ่มทำงานทันทีเพื่อเสริมแรงบิดและทำงานต่อเนื่องเมื่อแบตเตอรี่มีกระแสไฟฟ้าลดต่ำลง สำหรับโหมด Battery Hold แบตเตอรี่ลิเธี่ยมจะรักษาระดับการประจุไฟเอาไว้ที่ระดับเหมาะสำหรับขับในโซนที่ต้องการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ เช่นในเขตเมือง ระบบขับเคลื่อนปลั๊กอินไฮบริดเน้นประสิทธิภาพที่คมชัด  Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro ไม่ใช่รถช้า เมื่อเครื่องยนต์ TFSI และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกัน ทั้งสองระบบจะผลิตกำลังได้ 367 แรงม้าและแรงบิด 500 นิวตันเมตร (369 ปอนด์ฟุต) โดยแรงบิดดังกล่าวจะพร้อมใช้งานตั้งแต่รอบเครื่องยนต์กวาดขึ้นไปเพียงแค่ 1,250 รอบต่อนาที

กำลังแรงบิดถูกถ่ายโอนไปยังล้อทั้งสี่ผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ S tronic 7 สปีดแบบคลัตช์คู่ที่เปลี่ยนเกียร์อย่างรวดเร็วนุ่มนวล ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro เร่งความเร็วจาก 0 ถึง 62 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 5.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุดที่จำกัดไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โหมดพลังงานไฟฟ้าล้วน เมื่อมีไฟเต็มแบตฯสามารถวิ่งได้ประมาณ 40 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุด 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากขับเร็วกว่านั้น เครื่องยนต์ก็จะเข้ามาเสริมแรงบิดร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าทันที 

A7 ปลั๊กอินไฮบริด PHEV ไม่ประหยัดน้ำมันสำหรับการเดินทางไกล พลังงานแบตเตอรี่หมดและเครื่องยนต์จะเข้ามารับหน้าที่ต่อ ถนนในชนบทที่คดเคี้ยวสามารถชาร์จแบตเตอรี่โดยใช้ฟังก์ชัน regenerative braking ระบบเบรกแบบสะสมพลังงาน แค่ยกคันเร่ง ความเร็วจะถูกหน่วงโดยชุดรีเจนเพื่อชาร์จไฟกลับเข้าไปในแบตฯ เซนเซอร์กะระยะของระบบ regenerative braking ช่วยทำให้ขับได้ง่ายขึ้นและใช้เบรกน้อยลง รวมถึงยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้ดี เทคโนโลยีการจัดการเส้นทางอัจฉริยะ เช่น ระบบช่วยคาดการณ์ประสิทธิภาพล่วงหน้า (PEA) และกลยุทธ์การทำงานเชิงคาดการณ์ (PBS) ไฟใน แบตเตอรี่จะถูกใช้อย่างคุ้มค่า โดยคำนึงถึงปัจจัยของการเดินทาง เช่น ทางขึ้นลงเขาต่อเนื่อง ไฮเวย์ หรือเขตจำกัดความเร็ว ระบบบริหารพลังงานจะจัดการอย่างเหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ ซึ่งช่วยให้สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน หรือขับแบบไฮบริดผสมผสานกันทั้งสองระบบซึ่งช่วยทำให้ประหยัดเชื้อเพลิง

Audi A7 Sportback 55TFSIe Quattro S Line รถ Fastback ที่ถูกออกแบบมาให้วิ่งบนถนนที่อุดมไปด้วยโค้ง สร้างประสบการณ์ของการขับขี่ที่แตกต่างจาก BMW และ Mercedes-Benz หรือแม้แต่ Porsche เป็นรถที่ไม่ได้มีข้อผิดพลาดอะไรนอกจากระยะทางไฟฟ้านั้นสั้นไปนิดนึง ไดนามิกที่ดีงามทำให้รู้ว่าทุกวันนี้รถเยอรมันที่ใช้เครื่องยนต์พลังงานผสมก้าวไปไกลแค่ไหน และอีกหนทางหนึ่งของการขับทดสอบทางไกลก็คือ ความเพลิดเพลินในการควบคุมซาลูน 4 ประตูยังคงมีอยู่จริง.

อุปกรณ์ภายนอกที่เพิ่มเข้ามาทั้งสองรุ่น

ล้อลายใหม่ ขอบ 20 นิ้ว
ระบบช่วยปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารก่อนการขับขี่
กระจังหน้าแบบใหม่
USB Type C ด้านหลัง 2 ตำแหน่ง

ระบบความปลอดภัย
ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง
ระบบเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัย
เบรกมือไฟฟ้า
ระบบล็อกเบรกขณะหยุดนิ่ง (Audi hold assist)
ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock braking system)
ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic brake distribution)
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS (Traction control system)
ระบบควบคุมการทรงตัว ESC (Electronic control system with
stabilization function)
เซนเซอร์หน้า, หลัง และด้านข้างช่วยในการนำรถเข้าจอด
กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง
กล้องแสดงภาพด้านหลัง ขณะถอยจอด
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก
ชุดปฐมพยาบาล

อุปกรณ์มาตรฐาน
ช่วงล่างแบบ Sports
ระบบเลือกโหมดการขับขี่ (Audi drive select)
ชุดตกแต่งภายนอก-ภายในแบบ S line
หลังคาพาโนรามิคเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า
ไฟหน้าแบบ HD Matrix LED พร้อมเอฟเฟกต์ไฟด้านหน้า-หลัง
(Light staging)
Quattro with Ultra Technology
ไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ
กระจกมองหลังพร้อมระบบตัดแสงอัตโนมัติ
ระบบเปิด-ปิดไฟหน้า และปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
กระจกมองข้างตัดแสงและปรับ-พับไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชันบันทึกตำแหน่ง

ความสะดวกสบาย
เบาะนั่งหุ้มหนัง Valcona
เบาะนั่งคู่หน้าแบบ Sports พร้อมสัญลักษณ์ S line
เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชันบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งผู้ขับขี่
ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติควบคุมอุณหภูมิแยกอิสระ 4 โซน
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน แบบสปอร์ตท้ายตัด ตกแต่งด้วยหนัง Perforated พร้อมสัญลักษณ์ S line และ Paddle shift
ระบบควบคุมความเร็วคงที่ (Cruise control)
กุญแจแบบ Comfort key พร้อมระบบเปิด-ปิดบานประตูท้าย
โดยไม่ต้องใช้มือ
ระบบปรับอุณหภูมิห้องโดยสารก่อนการขับเคลื่อน

ระบบข้อมูลและความบันเทิง
เครื่องเสียงพรีเมียม Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ
ระบบแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า
จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว
ระบบ MMI Navigation plus with MMI touch response
พร้อมจอแสดงผลแบบสัมผัส ขนาด 10.1 นิ้ว
ระบบ Audi smartphone interface
จอควบคุมมัลติฟังก์ชันแบบสัมผัส พร้อมตอบสนองการสั่งงาน (haptic feedback) ขนาด 8.6 นิ้ว
รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth
รองรับ DVD, CD, MP3 และ USB
ไฟเรืองแสงในห้องโดยสาร (Contour/ambient lighting