Lotus Cars เป็นชื่อที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในโลกแห่งมอเตอร์สปอร์ตช่วงทศวรรษที่ 1970-1980 ตั้งแต่รถล้อเปิด Lotus Seven สุดคลาสสิกในอดีต จนมาถึงไฮเปอร์เอสยูวีไฟฟ้า Eletre ที่ล้ำสมัยในปัจจุบัน แนวคิดของแบรนด์รถสปอร์ตเก่าแก่จากอังกฤษก็คือ การออกแบบที่โฉบเฉี่ยวตามหลักอากาศพลศาสตร์ น้ำหนักเบา ให้ความสำคัญกับความแม่นยำ ความเร็ว และความเพลิดเพลินในการขับเคลื่อน ในอดีต คำจำกัดความของรถสปอร์ตของ Lotus ก็คือ รถยนต์ขนาดเล็กที่มีสองที่นั่ง สองประตู ออกแบบมาเพื่อสมรรถนะและการควบคุมที่ว่องไว มีเครื่องยนต์วางกลางรอบจัดเพื่อเน้นขับในสนามแข่ง มีความคล่องตัวจากขนาดและน้ำหนักที่สมดุลกับเครื่องยนต์ ในอดีตรถยนต์ของ Lotus ที่ผลิตออกขาย ไม่ได้เน้นไปที่ความเร็วมากนัก แต่เน้นไปที่การควบคุมรถและความคล่องตัวมากกว่า
...
Lotus ก่อตั้งขึ้นในปี 1952 โดยวิศวกรเมือง Hethel รัฐนอร์ฟอล์ก Colin Chapman และ Colin Dare ทั้งสองคนพยายามให้ความสำคัญกับการออกแบบที่เรียบง่ายและมีน้ำหนักเบา โมเดลในยุคแรก เช่น Lotus Mark VI มีการนำเสนอวัสดุมวลเบาและการออกแบบขั้นสูงเพื่อให้บรรลุถึงวิสัยทัศน์ของแบรนด์ จากเวิร์กช็อปครั้งแรกใน Hornsey ลอนดอนเหนือ Lotus ที่บริหารงานโดย Colin Chapman เริ่มประดิษฐ์รถยนต์ด้วยมือคันแรกในปี พ.ศ. 2500 Colin Chapman เปิดตัว Lotus Seven รถสปอร์ตมินิมอลที่เรียบง่าย เบา และมีการขับขี่ที่ดุดันแบบรถแข่ง หลังจากนั้นในยุค 70 (2521) Lotus กระโจนเข้าสู่การแข่งขันรถฟอร์มูล่าวัน และคว้าแชมป์คอนสตรัคเตอร์ หรือแชมป์ประเภทผู้ผลิตได้ถึง 7 สนาม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างรถ F1 ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในยุคนั้น Lotus ยังขยายขอบเขตในตลาดรถสปอร์ตด้วยรถรุ่นต่างๆ ที่เน้นความสนุกสนานในการควบคุม เช่น Lotus Elan ที่ได้รับความนิยมช่วง 1967-1977 และ Lotus Esprit ที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์
...
ในช่วงทศวรรษ 1980 Lotus ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก การผลิตรถรุ่นใหม่ลดลงอย่างมากจาก 1,200 คันต่อปี เหลือเพียงแค่ 333 คัน หล่นลงถึงหนึ่งในสี่เมื่อเทียบกับสภาวะปกติ นอกจากนี้แบรนด์รถสปอร์ตเก่าแก่ของอังกฤษยังได้รับผลกระทบหนักยิ่งขึ้นไปอีก จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในช่วงทศวรรษ 1980 ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ Lotus ในสหรัฐอเมริกาทรุดตัวลง รวมไปถึงเงินทุนที่จะใช้ในการพัฒนารถรุ่นใหม่ออกมาขายก็เหลือน้อยเต็มทน
...
ด้วยความหวังที่จะกลับเข้าสู่ตลาดรถสปอร์ตในทวีปอเมริกาเหนืออีกครั้ง Chapman ได้รับการติดต่อจาก Joe Bianco ศาสตราจารย์ด้านวาณิชธนกิจในสหรัฐฯ มีการปรับปรุงโชว์รูม Lotus และก่อตั้ง Lotus Performance Cars Inc. ซึ่งต่อมาประสบความสำเร็จอย่างสูง เมื่อผู้จัดการทีม Ferrari ในอเมริกาเหนืออย่าง John Spiech เข้ามากำกับดูแลหลังการขาย การจัดกิจกรรมให้กับลูกค้า Spiech นำ Esprit ที่ออกแบบโดย Giugiaro เข้าไปขายในสหรัฐอเมริกาและยอดขายก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทุกปี
น่าเศร้าที่ Colin Chapman เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 1982 (พ.ศ. 2525) ขณะที่มีอายุเพียงแค่ 54 ปี ทั้ง Chapman และ Lotus ยังเคยมีความเชื่อมโยงกับบริษัท DeLorean Motor ซึ่งในช่วงเวลาที่ Chapman เสียชีวิต Lotus ถูกตรวจสอบโดยคณะกรรมการและถูกฟ้องเป็นจำนวนเงิน 84 ล้านปอนด์ หากChapman ยังมีชีวิตอยู่ เขาอาจถูกตัดสินจำคุกอย่างน้อยสิบปี หลังจากนั้นไม่นาน David Wickins ผู้ก่อตั้ง British Car Auctions รับหน้าที่ประธานบริษัทคนใหม่
...
การพัฒนารถแข่งจนแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน ปัญหาทางการเงินและความเครียดจากการทำงานที่รุมเร้ามานาน ทำให้ Colin Chapman เสียชีวิตลงในปี 1982 ทิ้งผลงานในวงการมอเตอร์สปอร์ตที่ทำให้ผู้คนจดจำ จนถึงทุกวันนี้ รถยนต์ Lotus ยังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์และแนวคิดของ Chapman ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของ Lotus ในการออกแบบและสร้างรถยนต์ที่ให้ความพึงพอใจในการขับขี่อย่างแท้จริง
ปี 2560 Zhejiang Geely Holding Group เทคโอเวอร์ Lotus ด้วยการซื้อหุ้นส่วนใหญ่เอาไว้ทั้งหมด หลังจากปั้น Volvo จนประสบความสำเร็จ ผู้บริหารระดับสูงของ Geely Holding Group บริษัทยานยนต์สัญชาติจีนเริ่มย่ามใจและทุ่มเงินจำนวนมหาศาลให้กับ Lotus เพื่อพัฒนารถรุ่นใหม่ออกมาทำตลาด นั่นเหมือนกับที่ Geely เคยให้ทุน Volvo จำนวน 24,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาและสร้างรถที่สามารถแข่งขันกับแบรนด์คู่ต่อสู้ได้ Volvo กลับมายืนหยัดได้อีกครั้งอย่างแข็งแกร่ง ด้วยผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ที่โดนใจลูกค้าเก่า
แนวคิดของ Colin Chapman เกี่ยวกับรถยนต์ที่เรียบง่ายและน้ำหนักเบา พร้อมประสบการณ์การขับขี่ที่ดิบเถื่อน คือสิ่งที่ทำให้รถยนต์ Lotus กลายเป็นที่ต้องการ แม้แต่รถรุ่นใหม่ก็ยังออกแบบและสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงปรัชญาของ Chapman
1. วิศวกรรมน้ำหนักเบา
การออกแบบของ Lotus มุ่งเน้นไปที่การลดน้ำหนักโดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพ ส่งผลให้รถยนต์มีความคล่องตัวและตอบสนองได้ดี แต่การลดน้ำหนักที่เคยทำได้ในรถยนต์สันดาปภายใน Lotus กลับต้องประสบกับปัญหาน้ำหนักตัวที่บานเบอะเมื่อหันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Eletre แต่โชคดีที่โลกใบนี้มีมอเตอร์ขับเคลื่อนประสิทธิภาพสูง ซึ่งทำให้น้ำหนักตัว 2.6 ตัน ไม่ส่งผลกระทบกับอัตราเร่งมากนัก!!
2. การออกแบบแชสซี
เพื่อลดน้ำหนัก Lotus สร้างสรรค์นวัตกรรมการออกแบบตัวถังโดยใช้โครงสร้างแบบชิ้นเดียว และวัสดุมวลเบาแต่มีความแข็งแกร่งสูงอย่างคาร์บอยคอมโพสิตและอะลูมิเนียม ในขณะที่ยังคงความแข็งแกร่งและการตอบสนองได้ดีที่สุด
3. อากาศพลศาสตร์
นวัตกรรมที่ Lotus ไม่ได้หยุดอยู่แค่ดีไซน์และการลดความอ้วน เทคโนโลยีล้ำสมัยของระบบอากาศพลศาสตร์ เพื่อเพิ่มแรงกดสูงสุดและลดแรงต้านทานของกระแสลม
ทำไมชื่อรุ่นของ Lotus ถึงขึ้นต้นด้วยตัวอักษร E ?
Lotus ยุคแรกสุด มีรูปแบบการตั้งชื่อว่า Mark I, Mark II, Mark III เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนกับสัญลักษณ์ตัวเลข Chapman ได้เปิดตัว Lotus Mark XI ภายใต้ชื่อใหม่ที่มีตัว E นำหน้า นั่นก็คือ Lotus Eleven ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รถยนต์ Lotus ทุกรุ่น จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร E เพื่อลดความสับสนกับการตั้งชื่อรุ่นโดยใช้รหัสตัวเลข
รุ่นของรถ Lotus ในปัจจุบัน ขึ้นต้นด้วยตัวอักษร E ทั้งหมด เช่น Elise, Espirit, Elan, Europa, Exige ,Eletre , Emeya
มาที่ Eletre R รถทดสอบในสัปดาห์นี้ ที่คนของ Lotus เรียกมันว่าไฮเปอร์เอสยูวี เนื่องจากมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ตัวถังขนาดใหญ่ กำลังจากมอเตอร์คู่อย่างน้อย 905 แรงม้า แรงบิด 985 นิวตันเมตร มอเตอร์คู่ วางอยู่บนเพลาขับเคลื่อนด้านหน้าและด้านหลัง บวกแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ความจุ 112 kWh ทั้งหมดนี้ อยู่บนแพลตฟอร์มไฟฟ้าซึ่งผลิตในจีนทั้งหมด สถาปัตยกรรมระดับพรีเมียมของ Eletre ทั้งรุ่น S และ R นั้น 47% เป็นเหล็กที่มีความแข็งแรงสูง อีก 43% เป็นอะลูมิเนียม มีแนวคิดพื้นฐานบางอย่างที่เหมือนกับ Lotus ในอดีต แต่ส่วนประกอบของรถทั้งหมดกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเปรียบเทียบกับ Lotus ในอดีตที่ทั้งเล็กและเบาหวิว ในอาณาจักรอันใหญ่โตของแบรนด์ Geely โมเดล Eletre ถูกออกแบบให้มีความอเนกประสงค์ โดยมีความยาวถึง 5.1 เมตร สูง 1.6 เมตร มี 4 หรือ 5 ที่นั่ง (แล้วแต่การเลือกออปชันเบาะหลัง) และมีราคาอยู่ระหว่าง 5,890,000 (รุ่น S) ถึง 6,590,000 บาท (รุ่น R) ด้วยมอเตอร์หน้า 302 แรงม้า พร้อมเฟืองท้ายอิเล็กทรอนิกส์ รุ่น R คันทดสอบ มี มอเตอร์ด้านหลังที่ใหญ่กว่า พละกำลังที่เทลงเพลาท้ายกว่า 603 แรงม้า เมื่อรวมกับมอเตอร์หน้า ทำให้ Eletre R มีพลังมากถึง 905 แรงม้า นั่นหมายถึงมันมีกำลังมากกว่า RS Q8 หรือ Urus ถึง 200 แรงม้า! จากการเอาเปรียบเชิงกลด้วยมอเตอร์ขับเคลื่อนประสิทธิภาพสูง
Lotus Eletre R เป็นรถ Hyper SUV ที่มีขนาดความกว้างและความยาวมากกว่า Lotus ทุกรุ่นในสายการผลิต ขนาดความยาว 5.1 เมตร กว้าง 2.2 เมตร ทำให้ Eletre R ใหญ่กว่า Range Rover หรือ BMW iX โดยมีขนาดใกล้เคียงกับ Mercedes EQS SUV แต่รูปทรงของรถให้ความรู้สึกโดดเด่นมากกว่า เนื่องจากรูปลักษณ์อวกาศสไตล์ล้ำอนาคต และความเป็นรถยนต์พลังงานสะอาดคันแรกของแบรนด์ที่จะต้องมีความลงตัวในทุกมุมมอง ด้านหน้าของ Eletre R ดูสวยสุด ด้วยจมูกแบนแข็งคล้ายปลาฉลาม ดีไซน์ด้านหน้าทำให้นึกถึง Esprit หรือ Elise ตัวเก่า กระจังหน้าแบบปิดทึบเป็นลักษณะการออกแบบที่นำไปใช้กับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ทั้งหมดของ Lotus ตั้งแต่ซุปเปอร์คาร์ Evija มูลค่า 2 ล้านปอนด์ ไปจนถึง Eletre และ Emiya ที่เพิ่งจะเปิดตัวในประเทศไทย ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ไฟหรี่กลางวัน LED Daytime Running Light บางเฉียบ ทำให้รถดูดุดัน ไฟหรี่ LED ตั้งอยู่เหนือปากตะแกรงสีดำที่เปิดอยู่ สปอยเลอร์หน้ายื่นออกมาด้านล่างพร้อมชัตเตอร์อัตโนมัติที่เปิดเพื่อให้อากาศเข้าไประบายเพื่อลดอุณหภูมิของมอเตอร์ขับเคลื่อน เส้นสายที่คมชัด ช่องรับอากาศ หรือช่องบังคับกระแสลมเพื่อสร้างแรงกดตัวถังและลดการหมุนวนกระจายอยู่ทั่วตัวรถ ทำให้ Eletre มีแอโรไดนามิกทั่วทั้งคัน ด้านหลังสวยงามน่ามองด้วยวิงหลังขนาดยักษ์สองตัวที่มุมด้านบนของฝาท้าย วิงหลังออกแบบให้พับเข้าหากันบนกระจกบานฝาท้าย โครงสร้างขนาดยักษ์ ติดตั้งเซ็นเซอร์และกล้องด้านบน แถบไฟ LED สีแดงยาวตลอดทางด้านหลัง รวมถึงวิงหลังไฟฟ้าที่ยกตัวเองขึ้นอย่างอัตโนมัติเพื่อเพิ่มดาวน์ฟอร์ซในย่านความความเร็วสูง
Eletre R มาพร้อมกับล้ออัลลอยสีเงินสลับครีบคาร์บอนไฟเบอร์ขนาด 23 นิ้ว ยางซุปเปอร์สปอร์ตราคาแพงแบบ low-profile ของ Pirelli P Zero ยางหน้า 275/35R23 ยางหลัง 315/30R23 ก้านวงล้อ 23’’ 5-SPOKE GREY DIAMOND CUT เผยให้เห็นคาลิปเปอร์เบรกหน้า 6 พอต สีดำ ประทับตรา Lotus สีเหลืองตัดกันอย่างดุดัน มีกล้องและเซนเซอร์ทั่วทั้งคัน ตั้งแต่กระจังหน้าไปจนถึงกระจกมองข้างและเซนเซอร์ LiDar แบบป๊อปอัพบนหลังคา ก็ยังถูกจัดวางอย่างประณีต เพื่อการทำงานที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ของถนนและตัวรถในการสร้างความปลอดภัยขณะขับเคลื่อน
แบตเตอรี่ขนาด 112kWh วางอยู่ใต้พื้นห้องโดยสาร ระบบไฟ 800V รองรับการชาร์จไฟกระแสตรง DC ได้ในอัตราที่สูงถึง 350kW รถรุ่นนี้มีค่าเฉลี่ยการทำระยะทางเมื่อชาร์จไฟจนเต็ม WLTP ประมาณ 415 กิโลเมตร แม้จะมีขนาดที่ใหญ่กว่า BMW X6 แต่ Eletre R สามารถวิ่งแหวกอากาศได้อย่างสุดยอด จากระบบอากาศพลศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม แม้จะมีขนาดที่ใหญ่โต แต่ Eletre R กลับมีตัวเลขค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศต่ำเอาเรื่อง ที่ 0.26 (Cd 0.26) อย่าลืมว่าความลู่ลมจากการออกแบบช่วยทำให้ประหยัดพลังงาน ส่วนระบบรองรับเน้นความสบายติดตั้งสปริงลม Adaptive Air Suspension เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมระบบช่วยเลี้ยวล้อหลังท่ีทำให้รถมีความคล่องตัวสูง เหล็กกันโคลงแบบแอ็คทีฟ ทำงานด้วยระบบไฟ 48V เป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรุ่น R ฮาร์ดแวร์ที่เน้นความสะดวกสบาย ทำให้ Eletre R แตกต่างไปจาก Lotus ทุกคันที่ผมเคยขับทดสอบ แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกับแนวคิดของ Colin Chapman ก็คือน้ำหนักมวลรวมของรถทดสอบคันนี้ ที่หนักถึง 2,740 กิโลกรัม มันหนักกว่า Mercedes-AMG G63 ถึง 200 กิโลกรัม แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรเพราะระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าของมันมีประสิทธิภาพสูงมาก จากมอเตอร์คู่ที่เน้นแรงบิดล้นๆ จนรู้สึกได้ว่า นั่นมันเกินเลยจากรถเอสยูวีปกติไปไกลมาก
Lotus Eletre R อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าพลังสูง ระบบความปลอดภัยและอุปกรณ์อำนวยความสบายเมื่อขับทางไกล ภายนอกประกอบด้วยเซนเซอร์ทั้งหมด 34 ตัว ซึ่งรวมถึงกล้องเจ็ดตัวที่ให้มุมมองรอบคัน 360 องศา เรดาร์หกตัว เซนเซอร์อัลตราโซนิกอีก 12 ตัว และเซนเซอร์ LiDar ที่ปรับใช้ได้สี่ตัว อุปกรณ์เฝ้าระวังเหล่านี้จะโผล่ออกมาจากตัวถัง – สองตำแหน่งบนหลังคาและอีกสองจุดบนซุ้มล้อหน้าซ้าย-ขวา สำหรับฟังก์ชันการขับขี่อัตโนมัติ LiDar ช่วยให้รถสามารถขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 ได้โดยมีการเร่งความเร็ว เบรก และการรักษาช่องทาง แต่คนขับต้องใช้สายตาและการวางมือบนพวงมาลัย ระบบดังกล่าวเปิดโอกาสให้รถสามารถทำงานในโหมดอิสระระดับ 3 ในอนาคต LiDar สามารถนำเสนอการทำงานในระบบขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบระดับ 4
บนหน้าจอภาพมอนิเตอร์กลาง ความสามารถของเซนเซอร์ จะแสดงในรูปแบบกราฟิกโดยมียานพาหนะและคนเดินถนนทุกคันอยู่ใกล้กับรถ เซนเซอร์ของ Eletre มีความแม่นยำและสามารถตรวจจับผู้คนที่เดินไปมาในระยะไกลได้ มันไม่ได้สมบูรณ์แบบนัก และบางครั้งการทำงานของระบบอาจสับสนว่านั่นคือจักรยานยนต์หรือคนเดินถนนกันแน่! ระบบปฏิบัติการที่ควบคุมด้วยซอแฟแวร์ของ Lotus สั่งงานได้อย่างราบรื่นด้วยการสัมผัสหรือรูดไปที่หน้าจอภาพ แผนที่นำทางชัดเจนใช้ได้ ความสามารถในการหมุนภาพรถจำลองเพื่อค้นหาเมนูต่างๆ การคลิกฟังก์ชั่นที่ต้องการค่อนข้างเจ๋ง
จอแสดงผลแบบแถบบางเฉียบขนาด 12 นิ้ว ติดตั้งจากด้านหลังพวงมาลัยไปจนสุดฝั่งผู้โดยสาร โดยแสดงทั้งข้อมูลการขับขี่สำหรับผู้ขับและเป็นจอภาพมอนิเตอร์ของผู้โดยสารตอนหน้า เป็นจอแสดงผลสองจอที่แยกจากกัน การแจ้งเตือนข้อมูลต่างๆ ทำได้ดี พร้อมจอภาพยิงสะท้อนกระจกตรงหน้าคนขับหรือ HUD ตรงกลางมีจอแสดงผล OLED ขนาด 15.1 นิ้ว ติดตั้งในแนวนอน เป็นวิธีการจัดการส่วนควบคุมเกือบทั้งหมดที่เน้นความเรียบง่าย แต่ดันเอาเกือบทุกอย่างไปใส่ไว้ในจอมอนิเตอร์กลางเพื่อลดจำนวนปุ่มและสวิตช์ เหมือนกับรถยนต์ไฟฟ้ายุคใหม่ที่ใช้การดีไซน์ในแนวทางเดียวกัน นั่นก็คือ ลดปุ่มและสวิตช์เพื่อทำให้ห้องโดยสารดูเรียบร้อยไม่รกรุงรัง
แดชบอร์ดถูกดีไซน์ให้มีการแบ่งโซนระหว่างพื้นที่คนขับและพื้นที่ของผู้โดยสารตอนหน้าที่แยกจากกันอย่างชัดเจน คอนโซลกลางมีก้านสวิตช์แบบสั้นของตำแหน่งเกียร์ สวิตช์เล็กๆ อีกสองตำแหน่งใช้ ปรับอุณหภูมิ และปุ่มพิเศษสำหรับล็อกประตู พวงมาลัยฐานตัดหุ้มหนังสีขาว ก้านวงมีสวิตช์ของระบบควบคุมความเร็วแบบปรับได้ Adaptive Cruise Control ปุ่มปรับตั้งความเร็วด้านซ้ายและปุ่มควบคุมระดับเสียงของลำโพงทางด้านขวา
แผงหน้าปัดแบบแถบเรืองแสงที่แปลกตา ทำให้รถดูกว้างขวางและทันสมัย ผสมผสานกับพวงมาลัยทรงสี่เหลี่ยม แผงควบคุมบนจอภาพของ Eletre R ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นยานอวกาศมากกว่ารถซุปเปอร์เอสยูวี ความสูงของเบาะที่นั่งเมื่อปรับยกขึ้นช่วยให้มองเห็นถนนข้างหน้าได้อย่างชัดเจน แตกต่างจากรถสปอร์ตในอดีตของ Lotus ที่มักจะนั่งแล้วจมลึกลงไปเหมือนนั่งอยู่บนพื้นรถ การตกแต่งดูมีระดับด้วยหนัง Nappa พนักพิงศีรษะทั้งด้านหน้าและด้านหลังปักอักษรย่อ 4 ตัว ซึ่งเป็นชื่อของผู้ก่อตั้งแบรนด์ Lotus เบาะหลังแบบสามที่นั่ง แต่นั่งสองคนจะสบายตัวกว่ามาก ออปชันพิเศษสามารถติดตั้งเบาะหลังแบสองที่นั่งแยกโซนชัดเจนพร้อมที่วางแขนตรงกลาง มีหน้าจอแสดงผลของผู้โดยสารตอนหลังอยู่ตรงกลางสำหรับการปรับตั้งระบบปรับอากาศในโซนหลัง เบาะหลังยังปรับเอนได้ด้วยไฟฟ้าเพื่อเพิ่มความผ่อนคลายเมื่อเดินทางไกล
การตกแต่งภายในที่ทำให้รู้สึกแปลกใหม่ก็คือ ไม่มีอะไรใน Eletre R ที่จะทำให้เจ้าของ Lotus ในอดีตสามารถจดจำได้ เนื่องจากเป็นรถเอสยูวีไฟฟ้าคันแรกของแบรนด์ คุณภาพของงานตกแต่งภายใน พวกวัสดุและความลงตัวของ Lotus Eletre R จึงเหมือนกับรถยนต์ไฟฟ้าจากยุโรปภายใต้แบรนด์พรีเมียมทั่วไป จุดสัมผัสต่างๆ นั้นยอดเยี่ยมด้วยวัสดุหรูหราราคาแพง เบาะและหนัง Alcantara ที่ใช้ตกแต่งภายในดูดี เบาะปรับไฟฟ้าได้อย่าครอบคลุมทุกสรีระ แต่นั่งทางไกลไม่ค่อยจะสบายเท่าที่ควร เอกลักษณ์เฉพาะของ Lotus ก็คือ โลหะที่ใช้ทำปุ่มและสวิตช์ยังคงมีอยู่ แต่สำหรับการปรับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์และการปรับอุณหภูมิของระบบปรับอากาศเท่านั้น
พวงมาลัยมีรูปทรงที่สวยงาม พร้อมส่วนประกอบระบบไฮไฟระดับไฮเอนด์ที่ดูเหมือนซุ่มเสียงของลำโพง KEF จากอังกฤษ จะเป็นรองทั้ง Harman kardon /Bowers & Wilkin ของ BMW Bang & Olufsen ของ Audi และ Burmester high-end Sound ของ Mercedes-Benz กรวยลำโพงดูหรูหราสมราคา แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับไม่โดนใจ สำหรับไฟ LED ambient light เดินเส้นสายของแสงเพื่อเสริมงานตกแต่งภายในนั้นสวยงามใช้ได้ ทำให้งานภายในดูดีมีสกุล การตัดเย็บเบาะ หนังที่หุ้มแดชบอร์ดคอนโซล หนังกลับ Alcantara ที่หุ้มเพดานและแผงประตู มันดูเหมือนรถไฟฟ้าแบรนด์ยุโรปที่ได้รับการปรับแต่งมาเป็นอย่างดี พร้อมรูปทรงภายนอกที่ดึงดูดสายตาของผู้คนบนถนน จากขนาดที่ใหญ่โตซึ่งมาพร้อมกับตราสัญลักษณ์ Lotus ทำให้ดูขัดแย้งยังไงพิกล ....
หน้าจอสัมผัสของจอภาพมอนิเตอร์กลาง (ระบบสาระบันเทิงและการปรับตั้งค่าต่างๆ) ขนาด 15.1 นิ้ว สวิตช์และคอนโซลคาร์บอนไฟเบอร์ขัดเงาน่ามองและเอื่อยให้นิ้วของคนขับสัมผัสถึงชิ้นส่วนดังกล่าว เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงแดดจ้า สวิตช์เหล่านั้นก็ได้รับการจัดรูปทรงอย่างสมบูรณ์แบบเพื่อให้การสะท้อนแสงอาทิตย์เข้าสู่ดวงตาของคนขับลดลง สภาพแวดล้อมในการขับขี่กลายเป็นเรื่องของการเดินทางไกลด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่น่าพึงพอใจ มีพื้นที่เบาะหลังกว้างขวาง ความจุห้องเก็บสัมภาระท้ายก็มากถึง 611 ลิตร
ภายใต้เจ้าของใหม่ Lotus กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนาทั่วทุกมุมโลก มีศูนย์การออกแบบในเมืองโคเวนทรี ประเทศอังกฤษ มีโรงงานประกอบในเมืองหวู่ฮั่น สาธารณะรัฐประชาชนจีน และสำนักงานใหญ่ใน Hethel ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ พัฒนาในศูนย์วิศวกรรมแห่งใหม่ที่ Raunheim ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี
ในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ไม่เคยมี Lotus รุ่นไหนที่หนักเกิน 2 ตัน การบังคับเลี้ยวของ Eletre R สื่อสารอย่างเปิดเผยระหว่างแรคพวงมาลัยไฟฟ้ากับคนขับ เป็นความคล่องตัวและความสุขุมบนน้ำหนักมหาศาล มันเป็นเอสยูวีคันโตที่ขับขี่ได้อย่างนุ่มนวล ด้วย Adaptive Air Suspension ล้อ 23 นิ้วกับยางแก้มเตี้ย P Zero ไม่ส่งผลกระทบมากนักเมื่อขับผ่านผิวถนนที่ไม่เรียบ แรงต้านทานการหมุนของยางกับน้ำหนักมวลรวม แทบจะไม่ส่งผลกับพลังงานอันยิ่งยวดของมอเตอร์ขับเคลื่อน การเร่งความเร็วปราศจากการรอรอบเนื่องจากไม่มีเครื่องยนต์เทอร์โบ กดคันเร่งลงไป ไม่ว่ามันจะอยู่ในโหมดอะไร Eletre R จะกระโจนออกตัวอย่างรวดเร็วจนทำให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบ อัตราเร่ง 0-100 ใน 2.9 วินาที เร็วกว่า Lamborghini Urus Performante ถึง 0.4 วินาที แต่มีราคาถูกกว่า 18.8 ล้านบาท! ทำให้เศรษฐีบางคนคิดหนักอยู่เหมือนกัน
ทั้งหมดของ Eletre R ยังมาพร้อมกับความเพลิดเพลินเมื่อขับไปเรื่อยๆในย่านความเร็วต่ำ เมื่อไม่มีเสียงเครื่องยนต์ คุณจะได้ยินเสียงลมและเสียงยางดังเบาๆ มาตรการเก็บเสียงที่มีประสิทธิภาพของ Lotus การชดเชยเสียงรบกวนจากภายนอกแบบ Active สามารถลดระดับเสียงรบกวนโดยรวมได้มากถึง 5dBA การตอบสนองของคันเร่งที่ความเร็วต่ำ มีการปรับอัตราส่วนที่พอเหมาะขององศาคันเร่ง ไม่ให้คันเร่งไฟฟ้าไวมากจนขับยาก เมื่อขับในเมืองด้วยโหมด Range แรงบิดระดับ 985 นิวตันเมตรแน่นอนว่าถูกดึงออกมาใช้แค่ 500 นิวตันเมตรเท่านั้น เมื่อวางเท้าลงไปบนแป้นคันเร่งและค่อยๆ เพิ่มน้ำหนัก Eletre R ตอบสนองอย่างนุ่มนวล เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น ระบบจะแสดงความสอดคล้องสัมพันธ์กันในด้านไดนามิกองค์รวม โหมด Tour โช้คอัพแบบแอร์สปริงทำงานด้วยไฟฟ้า คอยดูดซับผิวถนนที่ไม่สม่ำเสมอได้ดีมาก
เมื่อลองการตอบสนองในโหมด Sport ระบบรองรับแบบแอร์สปริงยังคงดูดซับแรงกระแทกได้ดี แต่ก็มีความแข็งเพิ่มขึ้นจนรู้สึกได้ เนื่องจากระดับความสูงของรถถูกปรับให้เตี้ยลงด้วยโหมดนี้ แต่ฟิลลิ่งของ R ในด้านความสบายถือว่ายอมรับได้ กันโคลงแบบแอ็คทีฟ ทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อการขับเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง เมื่อเลี้ยวเจ้า Eletre R เร็วๆ มวลน้ำหนักที่ไม่สามารถปกปิดได้จะปรากฏที่พวงมาลัย เป็นแรงต้านทานการเลี้ยวที่เกิดจากน้ำหนักของรถขณะเคลื่อนที่ผ่านโค้งด้วยความเร็ว
เปรียบเทียบกับ BMW X6 Mercedes-AMG GLE53 และ Audi Q8 60TFSIe เจ้า Eletre R มีอาการโคลงตัวในโค้งน้อยมาก ระบบรักษาเสถียรภาพกับระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง เปิดโอกาสให้เลี้ยวได้สั้นกระชับและเร็วขึ้น แรงบิดที่กระจายไปยังล้อหน้าและล้อหลังเกือบจะเท่ากันในระดับ 50/50 Eletre R แทบไม่มีอันเดอร์สเตียร์ โดยมีอาการโอเวอร์สเตียร์เล็กน้อยเมื่อหวดเข้าโค้งมาเร็วๆ ด้วยไดนามิกที่ดีทำให้ง่ายต่อการควบคุม ซึ่งฟิลลิ่งดังกล่าว ต้องใช้ความทะเยอทะยานและทัศนวิสัยกับความเชี่ยวชาญในการปรับตั้งกันหนักหนาสาหัสเลยทีเดียว
สำหรับวัตถุที่มีมวลมากกว่า 2.5 ตัน เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้เข้าใจว่า Eletre R มีความว่องไวยังไง การบังคับเลี้ยวในย่านความเร็วสูงตอบสนองได้ดี น้ำหนักของพวงมาลัยที่เพิ่มขึ้นเมื่อขับเร็วทำให้เกิดความมั่นใจ Eletre R เข้าและออกโค้งได้อย่างรวดเร็วซึ่งค่อนข้างขัดแย้งกับขนาดและน้ำหนักของมัน ระบบช่วยเลี้ยวที่ล้อหลังปกปิดมวลขณะเดินทางไกลบนถนนที่มีทางโค้งเยอะ อากาศพลศาสตร์รอบตัวถัง กับวิงหลังที่สวยงามช่วยสร้างแรงกดส่วนท้ายได้ดี ท่ออากาศต่างๆ ออกแบบมาเพื่อใช้ประโยชน์จากกระแสลม เพื่อปรับการไหลเวียนของลมอย่างเป็นระเบียบ ลดการหมุนวนของกระแสอากาศและการระบายความร้อนที่ดีขึ้น รวมถึงไดนามิกที่ความเร็วต่ำก็ค่อนข้างดี
จุดชาร์จแรก PT กุยบุรี ผมกับคุณเอ๋เล่าเรื่องรถ ขับออกจาก กทม มีไฟ 395 km มาถึงจุดชาร์จแรก เหลือไฟ 78 กิโลเมตร ตู้อีเล็กซ่า แปะหน้าตู้ว่า 150 kw เสียบชาร์จปุ๊บ ตู้ปล่อยไฟมา 79kw ดูจะช้าเกินไป ตู้ 150kw ควรปล่อยอย่างน้อย 125 ก็ยังดี 79 นี่รอนานกว่าเดิมในการเติมไฟ แบตฯลิเทียมขนาดใหญ่ 112kWh (ใช้งานได้ 107 เซลล์) มีเซลล์จัดเรียงโดยตรงในกล่องโครงสร้าง แทนที่จะแยกเป็นโมดูล ซึ่งหมายความว่าแบตเตอรี่จะมีความหนาแน่นของพลังงานมากกว่าสำหรับปริมาตรที่บรรจุ โดยพื้นฐานแล้วเป็นแบตเตอรี่ที่มีขนาดเล็กและมีแพ็กที่แข็งแกร่งเอาเรื่อง ระบายความร้อนของแบตฯทำให้รองรับการชาร์จได้สูงสุด 350kW ด้วยระบบไฟ 800 โวลต์ (แทนที่จะเป็น 400 โวลต์) และให้ระยะขับทางไกล ที่สมเหตุสมผลบนตัวเลข 415 กิโลเมตร ระบบเกียร์อัตโนมัติสองสปีดที่เพลาล้อหลัง เพื่อสร้างอัตราเร่งแบบยิ่งยวด 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอันน่าตกใจ ผมลองเร่ง 0-100 เพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะรับรู้ว่าพลังของ Eletre R นั้นดุดันขนาดไหน
มอเตอร์และอินเวอร์เตอร์ ถูกเข้ารหัสมนต์ดำเพื่ออยู่ในหน่วยเดียว ระบบกันสะเทือน Adaptive Air Suspension มัลติลิงค์อะลูมิเนียม ยังเชื่อมต่อการทำงานกับโหมดการขับขี่ที่หลากหลาย (Tour, Range, Sport, Off-road, Individual รวมถึงโหมด Track ที่ใช้ขับในสนามแข่ง เบรก 6 พอตหน้าทำงานได้ดีพอใช้ หากต้องการหยุดให้เฉียบคมมากกว่าเดิมก็ต้องสั่งออปชันเบรกคาร์บอนเซรามิกที่มาคู่กับคาลิปเปอร์เบรกแบบ 10 พอต ทีนี้ละหัวทิ่มหัวตำ
ในความเป็นจริง Eletre R คือด้านที่สุดขั้วของแบรนด์รถสปอร์ตเก่าแก่จากอังกฤษ Lotus ใช้ความพยายามอย่างหนักในการปรับเปลี่ยนฟิลลิ่ง จากรถคันเล็กเครื่องยนต์สันดาปภายในวางกลางลำ ไปเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าพลังสูง คุณภาพการขับ เป็นข้อพิสูจน์ถึงการทำงานอย่างหนักเพื่อปรับไดนามิกให้ลงตัว วิศวกร Lotus ที่มีความเชี่ยวชาญ ได้ทำรถไฟฟ้าให้สอดคล้องกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน มากกว่าการเป็นรถขับเล่นในวันหยุดที่ทำให้รู้สึกอึดอัด Eletre R ยังสงบสติอารมณ์ของคนขับด้วยการระเบิดพลังงานอย่างยิ่งยวด กันโคลงแบบแอคทีฟ ระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง ทำงานด้วยระบบไฟ 48V ทำให้ Eletre มีความสามารถทั้งบนทางตรงและในโค้ง เดินทางไกลแล้วไม่อึดอัด จากความกว้างของห้องโดยสาร การชดเชยเสียงรบกวนแบบแอคทีฟโดยไม่มีฟังก์ชันเสียงแปลกๆของ Hans Zimmer เหมือนเป็นการต่อต้านการหลอกลวงเจ้าของรถด้วยซาว์ดประกอบภาพยนตร์ไซไฟแบบสังเคราะห์ที่แบรนด์เยอรมันชอบทำ แต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกท่ีสมจริงในการควบคุม สำหรับ Wallbox ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ขนาด 7.4kW จะใช้เวลาประมาณ 17 ชั่วโมง ในการชาร์จจาก 0 จนเต็ม แบตเตอรี่ของ Eletre R มีระบบปรับสภาพล่วงหน้าแบบอัจฉริยะ ฟังก์ชันวางแผนการชาร์จระหว่างเดินทาง ด้วยระบบนำทางผ่านดาวเทียมที่แม่นยำ เป็นความพยายามที่ดีของ Lotus เพื่ออุดช่องโหว่ในยุคแรกเริ่มของยานยนต์ไฟฟ้า
Eletre R เป็นรถที่ค่อนข้างขัดแย้งกับแนวคิดในอดีตของ Lotus แต่อย่าลืมว่า ในยุคสมัยที่รถอเนกหประสงค์กำลังได้รับความนิยม ทำให้ SUV กลายเป็นยานพาหนะคันใหม่ที่ลูกค้าต้องการ และในสภาวะปัจจุบัน หากคิดอีกทางหนึ่ง ด้วยตัวเลขยอดขายเอสยูวีไฟฟ้าในปริมาณที่ดีพอ Lotus จะมีเงินไปวิจัย พัฒนาและสร้างรถสปอร์ตขนาดเล็ก น้ำหนักเบา มีความว่องไว โดยไม่ต้องขอเงินสนับสนุนจาก Geery อีกต่อไป Eletre R ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ ได้รับการตกแต่งอย่างหรูหรา ในแง่ของความสะดวกสบายและคุณสมบัติต่างๆ มีขนาดใหญ่และกว้างขวางมาก ที่สำคัญกว่านั้นคืออัตลักษณ์และตัวตนในความเป็นรถยนต์ Lotus หากคุณต้องการที่จะให้คนมอง นี่คือ Hyper SUV ที่ควรพิจารณา เมื่อเทียบราคากับซุปเปอร์คาร์ขับสี่ยกสูงแบรนด์อิตาลี.
ELETRE R
STANDARD EQUIPMENT +
EV TECHNOLOGY
Dual Motor - Eletre 675 kW / 905 bhp
2-speed Transmission
WHEELS, TYRES & BRAKES
23” 5-Spoke Grey Diamond Cut
275/35R23 Front Pirelli P-Zero Tyres
315/35R23 Rear Pirelli P-Zero Tyres
Lightweight Brake Discs
Lotus Aluminium Fixed Caliper - 6 Piston (Front)
EXTERIOR
Active Rear Spoiler
Air Dam
Rear Spoiler Wing Endplate in Carbon Fibre
Soft Door Close
Hands Free Tailgate
Rear Privacy Glass
Roof Rails
Auto Dimming Frameless Rear View Mirror
Heated Wiper Nozzles
INTERIOR
Illuminated metal tread plates
COMFORT
Ioniser
64-color Premium Ambient Lighting
EV TECHNOLOGY
Dual Motor - 450 kW / 603 bhp
112 kWh Battery Pack
All Wheel Drive
800V High Voltage System
355kW CCS DC Fast Charger
22kW AC On-Board-Charger
Adjustable Regenerative Braking
Touch Activated Electric Charging Port Cover
Type2 Mode3 Charging Cable
STEERING & CHASSIS
Air Suspension with 2-Chamber Air Spring
Continuous Damping Control (CDC) Dampers
Integrated Chassis Control
Torque Vectoring by Braking
Electric Power Steering
4-Way Electric Adjustable Steering Column - With Memory
Electrical Steering Column Lock
Tyre Repair Kit
TPMS
Anti-theft Wheel Bolts
EXTERIOR
Matrix LED Headlamp
ADB (Adaptive Driving Beam) Function
LED Day Running Light
Rear RGB LED Light Bar
Puddle Lights
Dusk Sensor
LiDAR System (3 Deployable, 1 Fixed)
Frameless Doors
Front & Rear Flush Door Handle
Illuminated Door Handles
One Touch Windows with Anti-Pinch
Black Roof and Pillars
Auto Folding Exterior Mirrors with Memory
INTERIOR
Metal Tread Plates
Vanity Mirror and Light (Driver and Passenger)
Touch Sensitive Light Switches
Glove Box with Electric Lock
2 Cup Holders in Centre Console
Type-C USB Socket x 4
Front and Rear Grab Handles
2nd Row Hanging Hook
Hard Parcel Shelf
Side Hooks in Luggage Compartment
Escape Switch in Luggage Compartment
Under Luggage Compartment Floor Storage
SEAT
5-Seat Layout
Power Adjustable Front Seats (8 Way)
Front Seats Power Lumber Support (4 Way)
Front Seats Integrated Headrests
Heated Front Seats
Memory Front Seats & Driver Seat Greeting Function
Rear Seats Manual Headrest (2 Way)
ISOFIX on Outer Rear Seats
Foldable Rear Center Armrest with Integrated .Cup Holders
40/20/40 Split / Fold Rear Seats
COMFORT
Automatic 4 Zone Climate Control
Air Quality System
PM 2.5 Filter
Electrically Adjustable Front Row Air Vents
2nd Row - B Pillar Air Vents
2nd Row - Electrically Adjustable Air Vents on Rear of Centre Console
Multifunction Heated Steering Wheel
Keyless Entry and Exit
Keyless Automatic Start
Key Card with NFC Function
Car Greeting Sequence Using Lights and Welcome Sound
Car Goodbye Sequence Using Lights and Lock Sound
RNC (Road Noise Control)
SAFETY
ESC (Electronic Stability Control)
TCS (Traction Control System)
HDC (Hill Descent Control)
BAS (Electronic Brake Assist)
ARP (Anti-Rollover Program)
HSA (Hill Start Assist)
ICC (Integrated Chassis Control)
EPWI (Electrical Brake Pad Wear Indicator)
PIB (Post-Impact Braking)
TPMS (Tyre Pressure Monitoring System)
EPB (Electronic Parking Brake)
Auto Hold
Full-size Driver and Passenger Airbags
Side Airbags
Curtain Airbags
Far Side Airbag - Driver
Passenger Airbag Switch
Front 3-point Seat Belts with Height Adjustment
Front Motorised Pretensioner Retractor
Front Pretensioner with Adaptive Load Limiter
Rear 3-point Seat Belts x 3
Rear Outer Seatbelts with
Progressive Load Limiter
Seatbelt Reminder (Front and Rear)
In-car Life Presence Detection
LOTUS PILOT PACK
DMS (Driver Monitoring System)
RCW (Rear Collision Warning)
ACC (Adaptive Cruise Control)
AEB (Autonomous Emergency Braking)
TSI (Traffic Sign Information)
DOW (Door Open Warning)
RCTA (Rear Cross Traffic Assist)
BSD (Blind Spot Detection)
LKA (Lane Keeping Aid)
FCTA (Front Cross Traffic Assist)
VPA (Visual Park Assist)
Front Parking Assist
Rear Parking Assist
Warning triangle
Safety vests
INFOTAINMENT & TECHNOLOGY
29” Head Up Display with Semi Augmented Reality
15.1” OLED Full HD Central Console Screen
12.6” Driver & Co-Driver Instrument Display
8” Rear Seat Display
Front 15W Wireless Phone Charger
In-built eSIM card with 5G capability
FM/DAB Radio
Trip Computer
Bluetooth®
KEF Premium Audio System - 15 Speakers 1380W
LOTUS CONNECT*
Lotus App
Emergency Call
Roadside Assistance Call
Digital Key
Online Navigation
Virtual Personal Assistant with Voice Recognition
Over-The-Air Software Updates via WiFi
In-Vehicle App Store