เชื้อเพลิงทดแทนจากเอทานอล หรือ E85 
น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีตัวอักษร E นำหน้า หมายถึง การผสมผสานระหว่างน้ำมันเชื้อเพลิงเบนซินและเอทานอล หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกกันว่า แก๊สโซฮอล์ สำหรับตัวเลขที่ต่อท้าย หมายถึง ปริมาณเอทานอลที่ผสมอยู่ เช่น E85 มีส่วนผสมของเอทานอล 85% และน้ำมันเชื้อเพลิงอีก 15% ในขณะที่ E10 มีเอทานอล 10% ผสมกับน้ำมันเบนซิน 90% เช่นเดียวกับ E20 ที่มีเอทานอล 20% และเบนซินอีก 80%

ประเทศไทยเริ่มทำการจำหน่ายเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 โดยมีส่วนผสมเอทานอล E10 สำหรับในประเทศอื่นๆ นั้น ก็ได้มีการส่งเสริมให้ใช้เชื้อเพลิงทางเลือกประหยัดพลังงานกันอย่างแพร่หลาย ทั้งที่ ออสเตรเลีย บราซิล แคนาดา สหรัฐอเมริกา และยุโรปในบางประเทศ ที่เล็งเห็นถึงคุณประโยชน์ของเชื้อเพลิงเอทานอล

...

ความจริงแล้ว เชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ 95 ก็คือเชื้อเพลิง E10 ท่ีผสมกับน้ำมันออกเทน 95 ขณะที่ แก๊สโซฮอล์ 91 นั้นมีราคาขายที่ถูกกว่า เนื่องจากมีออกเทนน้อยกว่า ซึ่งเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ 91 ก็คือเชื้อเพลิงเบนซินแบบ 95 ที่ผสมกับเอทานอล เพียงแต่ออกเทนของแก๊สโซฮอล์ 91 นั้นน้อยกว่าออกเทนของแก๊สโซฮอล์ 95 นั่นเอง

ค่าออกเทนที่สูงกว่าจะทำให้การจุดระเบิดสมบูรณ์ ให้สมรรถนะดีขึ้นเล็กน้อยในรถยนต์ที่มีอัตราส่วนกำลังอัดสูง และใช้ระบบจุดระเบิดแบบแปรผัน สำหรับเอทานอลนั้น ผลิตได้จากวัสดุทางชีวภาพที่ผ่านขั้นตอนขบวนการหมัก

วัตถุดิบดังกล่าวมีทั้งอ้อย มันสำปะหลัง เมล็ดข้าว ข้าวบาร์เลย์ มันเทศ ต้นทานตะวัน ข้าวสาลี และมวลชีวภาพอื่นๆ โดยที่อ้อยและมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบหลักในการใช้ผลิตเอทานอลของประเทศไทย ปัจจุบัน ประเทศไทยมีการทำการเกษตรไร่อ้อยรวมพื้นที่ทั้งสิ้น 8 ล้านไร่ และมีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังอีก 8 ล้านไร่

เอทานอล มีปริมาณของออกซิเจนสูงกว่าราว 30% เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงเบนซิน ผลลัพธ์ที่ได้คือการเผาไหม้ที่หมดจดและสะอาดกว่า โดยทั่วๆ ไปแล้วเชื้อเพลิง E85 จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CO2 ลงได้ประมาณ 20% ขณะที่มลพิษอื่นๆ เช่น คาร์บอนมอนนอกไซด์ ไนตรัสออกไซด์ และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ จะมีปริมาณลดลงอย่างมากเช่นกัน

...

ก๊าซมลภาวะเหล่านี้ก่อให้เกิดสภาวะเรือนกระจก ตามมาด้วยสภาวะโลกร้อน เชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเอทานอลยังลดสารก่อมะเร็งบางชนิด อย่าง เบนซิน และ บิวทาไดอีน อีกด้วย ในปัจจุบัน ประเทศไทยใช้น้ำมันเบนซิน 20 ล้านลิตร และดีเซลอีก 50 ล้านลิตรต่อวัน เนื่องจากแหล่งผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงและทรัพยากรที่น้อย ทำให้ไทยต้องนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนใหญ่จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นทุกปี

เอทานอลมีคุณสมบัติกัดกร่อนและดูดความชื้น มีค่าความร้อนต่ำกว่าราว 28% ซึ่งหมายความว่าหากต้องการพลังงานเทียบเท่าเชื้อเพลิงเบนซิน จะต้องใช้เอทานอลในปริมาณที่มากกว่า ขณะเดียวกัน เมื่อเทียบกับน้ำมันเบนซินทั่วไปแล้ว เอทานอลมีค่าออกเทนสูงกว่าน้ำมันเบนซินอีกด้วย

...

เพื่อการใช้ประสิทธิภาพ E85 ได้อย่างน่าพึงพอใจ รถยนต์จะต้องมีระบบเชื้อเพลิงที่รองรับ E85 เพื่อให้มีความทนทานต่อคุณสมบัติกัดกร่อนของเอทานอล ไม่ว่าจะเป็นปั๊มเชื้อเพลิง สายนำส่งเชื้อเพลิง หัวฉีด และเครื่องยนต์ รวมถึงชิ้นส่วน เช่น ลูกสูบ แหวนรองลูกสูบ วาล์วและบ่าวาล์วจะต้องมีความแข็งแกร่งทนทานมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเอทานอลปริมาณมากจะต้องถูกใช้เพื่อผลิตพลังงานให้ได้เท่ากับ เครื่องยนต์เบนซิน ปั๊มเชื้อเพลิง สายเชื้อเพลิง และหัวฉีด จะต้องมีอัตราไหลลื่นมากกว่า 

เอทานอล มีค่าออกเทนสูงกว่าเชื้อเพลิงเบนซิน จังหวะของการจุดระเบิดจะต้องเกิดขึ้นล่วงหน้าและหน่วงเวลา โดยขึ้นอยู่กับปริมาณของเอทานอลในเชื้อเพลิง การจุดระเบิดด้วยระบบจุดระเบิดที่ทันสมัย จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

...

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเอทานอล คือ จะสามารถเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ได้เนื่องจากมีค่าออกเทนสูง แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น ค่าออกเทนที่สูงจะช่วยในเรื่องของการจุดระเบิดล่วงหน้าแต่ยังคงคายกำลังเท่าเดิม การเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์จะต้องมีการปรับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อัตราส่วนกำลังอัด ซึ่งถูกกำหนดมาจากโรงงานผู้ผลิตนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากการปรับแต่งเครื่องยนต์ครั้งใหญ่ ส่วนผสมของอากาศและเชื้อเพลิง อัตราการไหลเวียนของเชื้อเพลิง การปรับแต่งเครื่องยนต์และจูนกล่องควบคุม ECU

ปัจจุบัน มีชุดปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สามารถรองรับเชื้อเพลิงแบบ E85 แต่ก็ยังคงไม่สมบูรณ์แบบมากนัก แตกต่างจากรถยนต์แบบเฟล็กซ์ฟิวที่ผลิตโดยตรงจากโรงงาน ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับเชื้อเพลิงทดแทนโดยเฉพาะ

เนื่องจากเอทานอลจะต้องถูกใช้ในปริมาณมากกว่าเพื่อที่จะผลิตพลังงานให้เทียบเท่าเชื้อเพลิงเบนซิน อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของเอทานอลจึงสูงกว่าเชื้อเพลิงแบบเบนซิน แต่ด้วยราคาที่ถูกกว่าเบนซิน (เอทานอล E85 ลิตรละประมาณ 19.24 บาท) ถูกกว่าแก๊สโซฮอล์ 91 ซึ่งมีราคาลิตรละ 25.28 บาท ข้อได้เปรียบในจุดของราคาเอทานอลที่ถูกกว่าทำให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด ถึงแม้จะสิ้นเปลืองมากกว่าเชื้อเพลิงเบนซิน และต้องเติมบ่อยกว่า แต่ผู้ใช้ E85 ก็ยังพบว่ามีค่าใช้จ่ายในการเติมเชื้อเพลิงที่ต่ำกว่าเบนซินอยู่ดี

ปัญหาของเชื้อเพลิง E85 (ข้อมูลจาก http://www.siamspeed.com)
ปัญหาหลังการใช้งานของน้ำมัน E85 ไม่ใช่เรื่องของคุณสมบัติการกัดกร่อน แต่กลับเป็นคุณสมบัติดูดความชื้นของแอลกอฮอล์ต่างหาก ถ้าปล่อยเอทานอลทิ้งไว้นานๆ ตัวมันก็จะเริ่มดูดความชื้นสะสมเอาไว้เรื่อยๆ และถ้าหากภาชนะที่บรรจุนั้นเป็นเหล็ก ผลที่ได้ก็คือ สนิม


บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่เติมเชื้อเพลิง E85 ได้ก็ทราบถึงเรื่องนี้ โดยทำการเปลี่ยนจากท่อน้ำมันที่เคยเป็นเหล็กล้วนตอนสมัยเครื่องคาร์บูฯ เป็นท่ออะลูมิเนียม ถังเหล็กก็มีการชุบสารกันสนิมเคลือบไว้ด้านใน หรืออย่างช่วง 10 ปีที่ผ่านมาก็ใช้เป็นถังและท่อน้ำมันพลาสติกแทนที่ถังเหล็ก นอกจากนี้ก็ยังเป็นถังระบบปิด กันอากาศและความชื้น

โดยรวมแล้วก็พอจะพูดได้ว่า รถที่เป็นเครื่องหัวฉีดมาจากโรงงานนั้นมีความพร้อมที่จะใช้ E85 ได้เกิน 90% อยู่แล้ว ชิ้นส่วนต่างๆ ที่เป็นยางในระบบเชื้อเพลิง ความเสียหายจะเป็นคนละสาเหตุกับเหล็ก กล่าวคือไม่ใช่ความเสียหายจากการกัดกร่อนหรือสนิม แต่เกิดจากคุณสมบัติความ "แห้ง" ของแอลกอฮอล์ ซึ่งทำให้เนื้อยางกรอบและแตกร้าวได้ แต่โชคดีที่ความเสียหายที่ว่านี้จะเกิดเฉพาะกับยางธรรมชาติเท่านั้นครับ ส่วนยางที่นำมาใช้ในการผลิตรถยนต์ในช่วงเวลาเดียวกับที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เปลี่ยนเป็นยางผสมหรือยางสังเคราะห์ ซึ่งจะไม่มีการแตกตัวในลักษณะอย่างที่ว่าแทนไปแล้ว

ดังนั้น หากสำรวจแล้วว่าท่อยางที่ใช้งานยังอยู่ในสภาพที่ดี ก็สามารถเติม E85 ได้เลย (ต่อให้ไม่ได้คิดจะเติมใช้ ถ้าเห็นท่อน้ำมันเบนซินเริ่มมีรอยแตกแล้วก็เปลี่ยนเถอะครับ)


มีบทความจากเว็บต่างประเทศเขียนไว้ว่า หนึ่งในเหตุผลที่ยังต้องมีการผสมน้ำมันเบนซินเอาไว้ 15% ก็เพราะต้องการอาศัยความ "มัน" มาเป็นตัวช่วยกันไม่ให้ท่อยางแห้งเกินไป แต่ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นเหตุผลในการทำ Denatured Alcohol* มากกว่า

เติมแล้วทำให้ปั๊มติ๊กพังหรือกรองตันหรือเปล่า?
- ถ้าหากเป็นปั๊มติ๊กที่มีชิ้นส่วนเป็นเหล็ก และมีการปล่อยทิ้งไว้นานก็จะทำให้ปั๊มเป็นสนิมได้จริง ถ้าเป็นรถที่มีอายุมากๆ ผ่านการใช้งานมานาน พอเติม E85 ใส่ลงไป จะทำให้คราบจำพวกสารหล่อลื่นหรือสารเติมแต่งอื่นๆ ที่ผสมมากับน้ำมันเบนซินที่เกาะอยู่ในถังละลายออกมา ซึ่งอาจจะทำให้กรองเบนซินหรือปั๊มติ๊กอุดตันได้ ถ้าหากมีประมาณเยอะพอ ซึ่งตรงนี้ส่วนตัวยังไม่เคยเจอ บางคันอายุเกิน 15 ปีแล้วก็ยังเติมใช้ได้ปกติดี ตรงนี้อาจจะใช้วิธีเปลี่ยนกรองเบนซิน หลังจากใช้งานไปสักพักแล้วก็น่าจะหมดปัญหา


เติม E85 ทำให้เครื่องพังได้ใหม?
- ถ้าเป็นรถที่ไม่ได้ทำมารองรับ E85 แล้วเผลอเติมไปสักถังก็ไม่ต้องตกใจครับ แค่ถ่ายออกแล้วเติมน้ำมันปกติลงไปแทน แต่ถ้าฝืนใช้ไปนานๆ โดยไม่มีการใส่อุปกรณ์ปรับส่วนผสมใดๆ เลย ก็อาจจะทำให้เครื่องพังจากส่วนผสมบางตัวได้ครับ ซึ่งยังไงก็ไม่ใช่พังในทันทีแน่นอน


เติม E85 แล้ววิ่งได้ระยะทางน้อยลงรึเปล่า?
- จริงครับ แต่น้อยลงประมาณ 10-15% เท่านั้น เทียบกับราคาน้ำมันที่ถูกกว่าเกือบครึ่ง ก็ยังถือว่าประหยัดได้มากกว่าพอสมควร ถ้าหากราคาน้ำมันต่างกันไม่เกิน 20% ก็คงไม่คุ้มที่จะเติมครับ

E85 มีพลังงานน้อยกว่าเบนซิน ทำให้รถแรงน้อยกว่าเดิมหรือเปล่า?
- จริงอยู่ที่พลังงานจาก E85 น้อยกว่าน้ำมันเบนซิน "เมื่อเทียบจากการเผาไหม้ในปริมาณที่เท่ากัน" แต่ด้วยคุณสมบัติที่ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณการจ่าย E85 สำหรับการเผาไหม้ให้มากขึ้นกลับกลายเป็นข้อดีที่ทำให้อุณหภูมิในการเผาไหม้ของ E85 มีความเย็นมากกว่าและเผาไหม้ได้นานกว่า แทนที่จะเป็นการระเบิดแบบรุนแรงในระยะเวลาสั้นๆ ก็กลายเป็นการระเบิดที่ยาวตลอดการเคลื่อนที่ลงของลูกสูบ ส่งผลให้มีแรงบิดที่ต่อเนื่องกว่า เครื่องยนต์เดินเรียบกว่าอย่างชัดเจน


ข้อสรุปในการตัดสินใจสำหรับคนที่คิดจะใช้ E85
- รถยนต์คันนั้นต้องระบุชัดเจนว่าสามารถเติมเชื้อเพลิง E85 ได้
- รถที่ต้องการจะเติม มีชิ้นส่วนของระบบน้ำมันที่ยังอยู่ในสภาพที่ดี ไม่แตกร้าว ถังน้ำมันยังคงความเป็นระบบปิดอยู่
- ต้องการใช้น้ำมันที่มีค่าออกเทนสูงสำหรับเครื่องยนต์ที่ต้องการสมรรถนะ หรือต้องการใช้น้ำมันราคาถูกเพื่อความประหยัด
- อาศัยอยู่ใกล้หรือเส้นทางที่ใช้ประจำมีปั๊มน้ำมันที่มี E85 จำหน่าย ถ้าต้องขับไปเติมไกลๆ อาจไม่คุ้ม
- ใช้รถเป็นประจำ ไม่ได้จอดทิ้งไว้นานเป็นเดือน
- หากไม่ได้ระบุมาจากโรงงานว่าระบบเชื้อเพลิงของรถรองรับ E85 ต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์ในการปรับส่วนผสมเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นชุดคิทสำเร็จ กล่องพ่วง แต่ประสิทธิภาพอาจไม่ดีเท่ากับรถยนต์ที่มีระบบเชื้อเพลิงรองรับ E85 มาจากโรงงาน.