การเข้าไปมีส่วนร่วมในการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบช่วงทศวรรษ 1960 ของ Bruce McLaren ทำให้เกิดการผลักดันกีฬามอเตอร์สปอร์ตให้เป็นอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ชื่อ McLaren ยังคงสื่อถึงความฉลาดหลักแหลมมานานกว่า 50 ปี หลังจากการตายอันน่าสลดใจของเขา

...

เรื่องราวของ Bruce McLaren เริ่มต้นในสถานที่ที่ไม่น่าเป็นไปได้มากที่สุดในแวดวงมอเตอร์สปอร์ตระดับโลก นั่นก็คือ สถานพักฟื้นสำหรับเด็ก Wilson Home for Crippled Children ในโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อยังเยาว์วัย McLaren ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค Perthes ซึ่งเป็นภาวะที่หายาก ส่งผลต่อการพัฒนาของกระดูกสะโพก McLaren ใช้เวลาสองปีผูกตัวเองติดกับสิ่งที่เรียกว่า Bradshaw Frame เพื่อเป็นการประคองรักษาร่างกาย โดยพื้นฐานแล้ว Bradshaw Frame เป็นเตียงคนป่วยติดล้อรถเข็น McLaren ในวัยหนุ่มที่เริ่มฟื้นตัวเดินออกกำลังไปตามโถงทางเดินของบ้านพักฟื้นแห่งนี้ บางครั้งก็ต้องปะทะกับเด็กเกเรที่ชอบรังแกเด็กอ่อนแอ หากคุณฝันถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กด้อยโอกาสที่เกิดมาเพื่อเป็นนักขับรถแข่งระดับโลก เรื่องราวในวัยเด็กของ McLaren ถือเป็นดราม่าที่น่าจดจำ

ในที่สุด หลังจากการรักษาผ่านไป Bruce McLaren ก็ออกจากบ้านพักฟื้นใน Wilson Home โดยมีขาข้างหนึ่งสั้นกว่าอีกข้างอย่างเห็นได้ชัด McLaren ต้องใช้รองเท้าเสริมส้น เพื่อทำให้การเดินเป็นปกติไม่โยกตัวไปมา แต่เมื่อเขาเริ่มลงทำการแข่งรถ McLaren จะเดินกะโผลกกะเผลกอย่างหนักในขณะที่ต้องสวมรองเท้าแข่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในลักษณะทางกายภาพที่ผู้คนทั่วไปในสนามแข่งสามารถรับรู้ได้เมื่อมองไปยังพิทเลน นอกจากการเดินเหินที่ดูแปลกตาแล้ว รอยยิ้มที่อบอุ่นและปราศจากเล่ห์กลของ McLaren รวมถึงน้ำใจในสนามแข่ง ก็เป็นเหมือนเครื่องมือในการสื่อสารกับคนรอบข้างได้อย่างดีเยี่ยม

...

พ่อของ McLaren เป็นเจ้าของปั๊มน้ำมัน และช่วย Bruce ซ่อมบำรุง Austin 7 Ulster รถสปอร์ตล้อเปิดคันเล็กที่สวยงาม ในช่วงปลายทศวรรษ 1950 Sir Jack Brabham นักแข่ง F1 ที่สร้างชื่อให้กับตัวเองในยุโรปแล้วกลับมาที่นิวซีแลนด์เพื่อจัดการแข่งขันรถยนต์ Jack ได้รับการเสนอสถานที่พักผ่อนในขณะที่ต้องอยู่ในนิวซีแลนด์ นั่นก็คือ บ้านของตระกูล McLaren นั่นเอง ในเวลาไม่นาน Brabham ก็ค้นพบกับความสามารถในการควบคุมรถของเด็กน้อย Bruce ซึ่งขับรถได้อย่างคล่องแคล่ว Jack Brabham มองเห็นศักยภาพดังกล่าวและพา McLaren ไปยังยุโรปเพื่อลงแข่งให้กับทีม Cooper

...

...

ในสนามแข่งรถที่ยุโรป McLaren ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ จะทำการแย่งชิงตำแหน่งทันทีที่ออกจากกริตสตาร์ต ในรายการ British Grand Prix ปี 1959 นักแข่งมือใหม่อย่าง McLaren ขึ้นไปทาบรัศมีบดบี้กับ Sir Stirling Moss เพื่อทำสถิติความเร็วต่อรอบที่เร็วที่สุดของการแข่งขัน วันที่ 12 ธันวาคม รายการ United States Grand Prix ที่ Watkins Glen แม็คลาเรนกลายเป็นผู้ชนะกรังด์ปรีซ์ที่มีอายุน้อยที่สุด ด้วยวัยเพียงแค่ 22 ปี 3 เดือน และอีก 12 วัน เขายังคงเป็นเด็กอายุน้อยที่สุดคนที่หกที่สามารถชนะการแข่งขันรถ F1

แม้จะอยู่ในยุคของนักแข่งที่ถูกเพาะเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก McLaren กลายเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับแถวหน้าของวงการแข่งรถระดับโลก ตลอดช่วงทศวรรษที่ 1960 ด้วยการออกสตาร์ตในรายการกรังด์ปรีซ์ 100 ครั้ง คว้าชัยชนะสี่ครั้งในรายการ F1 McLaren ยังคว้าชัยในรายการ 24 Hours of Le Mans ในปี 1966 ซึ่งมีการถกเถียงกันอย่างมากดังที่ปรากฏในไคลแม็กซ์ของภาพยนตร์เรื่อง Ford v Ferrari ที่แสดงโดย Benjamin Rigby แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ McLaren กลายเป็นตำนาน สิ่งที่ทำให้ผู้คนจดจำก็คือ ในขณะที่นักแข่งรถบางคนเป็นคู่แข่งที่โหดเหี้ยมและค่อนข้างเห็นแก่ตัว McLaren กลับทำตรงกันข้าม นั่นก็คือความมีน้ำใจในสนามแข่ง

McLaren M1A

McLaren M2B

McLaren M1B

ปี 1964 เมื่ออายุ 27 ปี McLaren สร้างรถสปอร์ตคันแรกชื่อ M1A ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความเร็วที่เหนือชั้นกว่ารถคู่แข่ง นอกจากนี้ McLaren ยังได้เปิดตัวรถ Formula 1 คันแรก นั่นคือ M2B ในการแข่งขัน Monaco Grand Prix ปี 1966 แต่ข่าวใหญ่คือ การเปิดตัว Mclaren M1B ในซีรีส์แข่งรถทางเรียบรายการ Can-Am ในทวีปอเมริกาเหนือเป็นครั้งแรก รถ M2B วิ่งได้เร็วกว่าในสนามแข่ง ในความเป็นจริง มันยังมีความเร็วที่เหนือกว่ารถ F1 ในยุคนี้อีกด้วย  M2B ในสีส้มมะละกอที่เป็นเครื่องหมายการค้าของ McLaren ครองแชมป์รายการ Can-Am ได้อย่างทั่วถึงในห้าฤดูกาลถัดไปจนซีรีส์นี้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ Bruce และ Denny Show ในขณะที่ McLaren และเพื่อนนักแข่ง Kiwi Denny Hulme คว้าธงตาหมากรุกอย่างต่อเนื่อง ในฤดูกาล 1969 รถยนต์ของ McLaren ชนะการแข่งขัน Can-Am 11 รายการ โดยทุกรายการอยู่ในปฏิทินการแข่งรถทางเรียบระดับชิงแชมป์โลก

ผู้ชายจำนวนมากสามารถออกไปคว้าชัยชนะในการแข่งขันในช่วงทศวรรษ 1960 แต่มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถพัฒนารถยนต์ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วจึงขับเคลื่อนทีมแข่งไปสู่ชัยชนะอย่างที่ Bruce McLaren ทำได้ เขามีคุณสมบัติที่เพียบพร้อม ทั้งทักษะทางวิศวกรรมยานยนต์ ความอดทน การอุทิศตน และพรสวรรค์ในการควบคุมรถที่เป็นธรรมชาติ กลายเป็นเพชรเม็ดงามประดับวงการมอเตอร์สปอร์ตไปโดยปริยาย 

“แชสซีของรถแข่งก็เหมือนกับเปียโน” Bruce McLaren เคยกล่าวถึงกระบวนการพัฒนารถแข่งรุ่นใหม่ “คุณสามารถสร้างรถแข่งที่มีประสิทธิภาพ ด้วยขนาดที่เหมาะสม จนกว่าจะผ่านการปรับแต่งในขั้นตอนสุดท้าย เพื่อให้มันมีความสมบูรณ์แบบมากที่สุด”

นอกจากนั้น Bruce McLaren ยังมีทักษะความเป็นผู้นำที่ทำให้ทีมของเขาเป็นผู้ชนะการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังเป็นที่ชื่นชอบและให้ความเคารพนับถือ จากความเป็นคนมีอัธยาศัยดีต่อคนรอบข้าง ไม่ยึดติดกับอัตตามากจนเกินไป ทำให้ใครก็ตามที่ทำงานให้กับ Bruce McLaren ต่างมุ่งมั่นที่จะทำงานนั้นออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้

ในปี 1970 McLaren ได้ตีพิมพ์อัตชีวประวัติของตัวเอง ด้วยหนังสือชื่อ Bruce McLaren: From the Cockpit น่าเศร้าที่เขาเขียนคำนำที่ดูเหมือนเป็นการไว้อาลัยตัวเองในหนังสือเล่มนั้นว่า “การทำสิ่งที่ดีที่สุดนั้นคุ้มค่ามาก และความตายที่เกิดจากความพยายามในการทำสิ่งที่ดีกว่า ก็ไม่ใช่เรื่องโง่เขลา”  “คงจะเป็นการเสียเวลา หากไม่ทำอะไรเลยด้วยความสามารถของตนเอง เพราะผมรู้สึกว่าชีวิตนั้นวัดกันที่ความสำเร็จ”

วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2513 ในขณะที่ McLaren กำลังทดสอบรถแข่ง Can-Am ที่ความเร็ว 354 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (220 ไมล์ต่อชั่วโมง) ในสนาม Goodwood เครื่องยนต์ของรถแข่งได้ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง แรงจากการระเบิดทำให้รถแข่งที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงฉีกขาดออกจากกันเป็นสองส่วน เมื่อไม่มีทางที่จะควบคุมรถได้ รถแข่ง Can-Am พุ่งไปปะทะเข้ากับแผงกั้นคอนกรีต ผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่า การปะทะอย่างรุนแรงทำให้เกิดลูกไฟสูงกว่า 30 ฟุต McLaren เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ ในรถแข่งที่ตัวเองลงมือพัฒนาเพื่อยกระดับการทำความเร็วอย่างต่อเนื่อง 

การเสียชีวิตของ Bruce McLaren ทำให้วงการมอเตอร์สปอร์ตโลกต้องสูญเสียนักแข่งและวิศวกรที่มีฝีมือในการจูนรถระดับเทพ แต่แบรนด์ McLaren ที่ Bruce เป็นคนก่อตั้งก็ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ ดังที่ Xavier Chimits คอลัมนิสต์ข่าวมอเตอร์สปอร์ตชื่อดัง ได้เขียนเอาไว้ว่า “นี่คือชัยชนะที่ดีที่สุดของ Bruce McLaren รถแข่งของ McLaren คว้าแชมป์โลก F1, Indy 500 และ 24 Hours of Le Mans สมดั่งตามความตั้งใจของ Bruce ในความเพียรพยายามที่จะเอาชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง ด้วยรอยยิ้มและน้ำใจที่มีให้กับทุกๆ คน.