ตั้งแต่เผยโฉม Zeekr X เวอร์ชั่นพวงมาลัยขวาในไทยจนบัดนี้เป็นเวลาเดือนเศษ ชื่อชั้นของแบรนด์จีนหน้าใหม่รายนี้ เริ่มเป็นที่พูดถึงนอกสังคมคนเล่นรถมากขึ้น คนที่ทราบและติดตามเรื่องราวมาจะรู้ประวัติของแบรนด์นี้ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว นี่คือค่ายรถที่เพิ่งก่อตั้ง หลัง COVID ระบาด แต่คนไทยกลับให้ความสนใจมาก รถที่เอามาขายนั้น สื่อมวลชนที่ได้ลองสัมผัสมาก็ให้การยอมรับว่ามีศักยภาพในตัวรถที่ดีในระดับหนึ่ง ใกล้เคียงกับแบรนด์ยุโรป แม้ว่ายอดจอง 150 คันภายใน 20 วัน ไม่ได้เยอะเมื่อเทียบกับ Deepal ตอนเปิดตัว S07 แต่ก็ยังน่าสนใจว่า ค่ายใหม่วัยเนิร์สเซอรี่นี้ มีความเป็นมาอย่างไร ถึงกล้าลุยตลาดไทย ที่ได้ชื่อว่าลูกค้าโหด และหินที่สุดประเทศหนึ่งในโลก

...

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปลองขับ Zeekr X มาสั้นๆ แต่อย่าเข้าใจผิดนะครับว่าผมจะเขียนรีวิวการขับให้ท่านอ่านกัน เพราะว่าน้าฉ่าง อาคม รวมสุวรรณ หัวหน้าเผ่าของผมก็แอบไปงานมา คาดว่าน่าจะมีบทความมารายงานให้คุณผู้อ่านฟังอยู่แล้ว ผมเลยคิดว่า น่าจะลองไปค้นๆคุ้ยๆ เอาประวัติแบรนด์ Zeekr มาเสริมให้คุณผู้อ่านที่ต้องการหาความรู้เพิ่ม ใช้เป็นน้ำจิ้มกับอาหารจานหลักแทนน่าจะดีกว่า ผมบอกได้แค่ว่า มันก็เหมือนรถหลายคันที่ผมทดสอบมา มีทั้งจุดที่เด่น และจุดที่เราก็งงว่าเขาจะทำแบบนั้นทำไม แต่ชมในเรื่อง Active Safety ล้นคัน ไม่ว่าจะรุ่นถูกหรือรุ่นท้อป เท่ากัน และทดสอบชน EURO NCAP 5 ดาว ฟาด อัด หมุน กลิ้ง ชนมาแล้วทุกท่า จนขายในยุโรปได้อย่างสบายใจ

...

Zeekr นั้น ไม่ใช่บริษัทรถโดดเดี่ยวนะครับ ฐานะของเขาคือเป็นหนึ่งแบรนด์ในเครือร่มไม้ใหญ่อย่าง Geely Holding Group ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งอยู่ไปทางตะวันออกของจีน ชื่อ Geely นี้ ก็มีแบรนด์อยู่ในเครือมากมายและไม่ได้จำกัดแค่แบรนด์ชาติจีน พวกเขามียี่ห้อ Geely เป็นรถตลาดระดับทั่วไป (Mass/Mainstream) ขายแข่งกับ BYD, ChangAn, MG หรือ Neta ส่วน Zeekr นั้นเป็นแบรนด์ระดับหรูสุดของเขา ขายแข่งกับ Denza ของ BYD และ Avatr ของ ChangAn เป็นต้น และในตำแหน่งสอดกลางระหว่าง Geely กับ Zeekr ก็มี Lynk & Co กับ Galaxy ที่เป็นรถ ไม่ใช่มือถือเกาหลี กับแบรนด์ RADAR ที่ทำพวกรถพาณิชย์อีกต่างหาก

...

แขนขายาวใหญ่ พลังการเงินก็ใช่เล่น นอกจากมีรถจีนแล้ว Geely Holding ยังเป็น “บ้านใหญ่” ของ Volvo และ Polestar จากสวีเดน Lotus จากอังกฤษ Proton จากมาเลย์ และ Smart ของเยอรมนี เวลาคุณมอง Zeekr X กับ Volvo EX30 จากภายนอก ลองถามคนทั่วไปที่ไม่ได้บ้ารถดูครับว่าดูออกไหม ว่ารถทั้งสองคันมีพ่อแม่เดียวกัน ใช้โครงสร้างตัวถัง SEA-Sustainable Experience Architect ทั้งคู่ และพัฒนาร่วมกันโดยมี SMART #1 เป็นรถอีกรุ่นที่ตั้งไข่ในแล็บเดียวกันและมีหลายส่วนใช้ร่วมกัน มันก็คือการแชร์ทรัพยากรความรู้ระหว่างค่ายในเครือบ้านใหญ่นี่ล่ะครับ

...

ซึ่งก็น่านับถือตรงที่ บริษัทเติบโตมาได้ขนาดนี้ ทั้งที่ความจริง Geely เพิ่งก่อตั้งโดยคุณ Eric Li Shufu เมื่อปี 1986 นี่เอง บริษัทอายุน้อยกว่าค่ายรถญี่ปุ่นหลายค่ายเยอะ และตอนก่อตั้ง เขาเป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนตู้เย็น แล้วก็หันไปทำมอเตอร์ไซค์ขายเมื่อปี 1994 แล้วก็เริ่มทำรถขายเมื่อปี 1997 นี้เอง ต้องไปดูหน่อยล่ะว่าพัฒนาธุรกิจอย่างไร ค่ายที่เพิ่งสร้างรถเมื่อช่วงต้มยำกุ้ง crisis ตอนนี้ กลายเป็นกลุ่มธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่ที่ในปีที่แล้ว ผลิตรถไป 2.79 ล้านคัน โดยที่เกือบ 1 ล้านคัน เป็นรถ BEV และ PHEV และมีพนักงานในสังกัด 130,000 คน

ถ้าถามผมว่าจุดไหนคือจุดเปลี่ยนสำคัญ ก็คงเป็นเมื่อ 14-16 ปีก่อน ตอนที่ Geely ไปซื้อกิจการ Volvo มาต่อจาก Ford ผมจำได้ว่าเคยแปลงานบทสัมภาษณ์นิตยสารให้พี่แมน ทัศไนย ไรวา ที่ผู้เขียนไปคุยกับคนใน Volvo จึงได้รู้ว่าเมื่อซื้อกิจการแล้ว Geely ก็ดูแลค่ายสวีเดนนี้อย่างดี คือสนับสนุนเรื่องเงิน สนับสนุนการวิจัยเต็มที่ ไม่ปิดกั้นทางความคิด ให้โอกาส Volvo ทำรถตามสไตล์ตัวเองถนัด ตอนนั้นหลายคนดูถูก Volvo ว่าจะกลายเป็นรถจีน แต่กลายเป็นว่าปี 2015 Volvo ขายรถได้ 500,000 คันทั่วโลกซึ่งเป็นสถิติที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่กำเนิดแบรนด์มา ส่วนผลตอบแทนที่ Geely ได้ คือเทคนิคการสร้างรถ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยทั้งเชิงรับและเชิงป้องกัน

ในบ้านใหญ่ของ Geely Holding นี้ก็มีการจัดสรรการบริหารเชิงธุรกิจซับซ้อนอยู่ แต่พออธิบายง่ายๆว่า หลายอย่าง พัฒนาร่วมกัน แต่ Volvo ก็ยังคงเป็น Volvo และ Geely ก็ยังคงเป็น Geely แต่เขาเริ่มควงแขนทำรถร่วมกันออกมาเป็น Joint-venture ระหว่างจีนกับสวีเดนอย่างทางการเลยคือแบรนด์ Lynk & Co โดยไปตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Gothenburg ประเทศสวีเดนตั้งแต่ปี 2016

ทีนี้ ช่วง COVID-19 ระบาดนั้น ก็มาพร้อมกับกระแสการบูมของรถกลุ่ม New Energy Vehicle (NEV) ในจีนพอดี กลุ่ม Geely ก็เลยมองเห็นโอกาสที่จะสร้างแบรนด์ระดับหรูขึ้นมาใหม่ มีตำแหน่งทางการตลาดและราคาสูงขึ้นไปอีกขั้น และเป็นแบรนด์ขายความเป็น EV ไม่มีเครื่องสันดาป โดยสิ่งต่างๆที่พวกเขาเคยวิจัยมาสำหรับ Lynk & Co ก็ถูกถ่ายทอดไปสู่ Zeekr ด้วย คุณสังเกตได้ใช่ไหมล่ะครับว่า Zeekr 001 รถรุ่นแรกของค่ายมีเอกลักษณ์คล้ายรถของ Lynk & Co มาก เพราะอันที่จริง 001 ควรจะเกิดมาเป็นรถของ Lynk & Co แต่พอความคิดเรื่องแบรนด์ไฟฟ้าล้วนระดับพรีเมียมอุบัติขึ้น มันเลยไปเกิดในครรภ์ของ Zeekr แทน

ใครเคยฟังผู้บริหารบรรยายในไทย ก็จะเห็นว่า Zeekr มีศูนย์วิจัยใหญ่อยู่ทั้งในจีน..และที่ Gothenburg คุณเห็นความสัมพันธ์ของเรื่องทั้งหมดแล้วใช่ไหมครับ?

Zeekr ก่อตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2021 มีสำนักงานอยู่เจ้อเจียงเหมือน Geely แต่อยู่เมืองหนิงโปแทน โดยชื่อแบรนด์นั้น มาจากการผสมคำว่า เจนเนอเรชั่น Z ซึ่งหมายถึงคนรุ่นใหม่ กับคำว่า Geek ที่หมายถึงคนที่มีความฉลาดเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ยังมีความหมายซ่อนในชื่อซ้อนอีกทีด้วยว่า ZE ในชื่อ ย่อมาจาก ZERO ที่แปลว่า “จุดเริ่มต้น/เริ่มจากศูนย์” และตัว E ตัวต่อมา ย่อมาจาก “Electric Era” (ยุคของรถไฟฟ้า) และ KR ย่อมาจาก Krypton ซึ่งไม่ใช่การเทรดคริปโต แต่หมายถึงก๊าซชนิดหนึ่งที่เมื่อได้รับกระแสไฟฟ้าแล้วจะปล่อยแสงออกมาได้ ผมเดาว่าผู้บริหารที่ Zeekr Thailand เลือกความหมายเซ็ตแรกมาอธิบาย เพราะความหมายเซ็ตหลัง ผมเชื่อว่าขืนเล่าไป ทั้งคนทั้งหมาเดินหนีก่อนเล่าจบ

รถรุ่นแรกของพวกเขา คือรุ่น 001 ซึ่งรูปทรงแปลก เป็นรถทรง Shooting Brake คล้ายสเตชั่นแวก้อน แต่สปอร์ตกว่า และเป็นรถไฟฟ้าที่มีกำลังถึง 536 แรงม้าในรุ่นท้อปขับสี่ และ 269 แรงม้าในรุ่นมอเตอร์เดี่ยว จากนั้นรถรุ่นที่สองของพวกเขาก็คือเจ้า MPV หรู รุ่น 009 ที่ใช้มอเตอร์ชุดเดียวกัน นอกจากอัตราเร่งจะถีบตัวออก 0-100 ภายในไม่เกิน 5 วินาที รถสปอร์ตมองกระจกหลังย่อมมีเสียวแล้วนั้น ยังมีความหรูหราภายในเหมือนจะไปยักคิ้วหลิ่วตากับ Alphard ของ Toyota ด้วย รถรุ่นนี้ขายมาตั้งแต่ปี 2022 แล้วครับ แต่เวอร์ชั่นพวงมาลัยขวานั้น เพิ่งจะเปิดตัวที่ฮ่องกงไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2024 และในไทยก็จะมาเผยโฉมขายกันจริงในเดือนกันยายน ซึ่งผมลองไปนั่งจับจูบลูบคลำดู ถ้าอุปกรณ์มาแบบนั้น วัสดุให้ได้แบบนั้น แล้วขายไม่เกิน 3.2 ล้านบาท ผมว่าฝั่งญี่ปุ่นอยู่ยากละครับ และ Maxus 9 เพื่อร่วมชาติเองก็น่าจะลำบากด้วย

จากนั้นก็ตามมาด้วยรถซีดานรุ่น 007 ซึ่งจะมีขนาดตัวและระดับราคาย่อมเยาลงมาเมื่อเทียบกับ 001 และ 009 แต่ถึงกระนั้น ตัวรถก็ไม่ได้เล็กนะครับ ขนาดตัวยาว 4,865 มม. นั้น ยาวกว่า Tesla Model 3 ครึ่งฟุตและใกล้เคียง Camry กับ Accord เลยทีเดียว ผมเดาว่าหลังจากขาย 009 ในไทยได้แล้ว ตัวที่มาตัวต่อไปก็น่าจะเป็นรุ่นนี้ล่ะครับ และน่าจะทำราคาในระดับเดียวกับ Tesla Model 3 ด้วย ที่เดาว่าน่าจะเอารุ่นนี้มาไทยเป็นตัวต่อไป เพราะมีข่าวว่าจะมีเวอร์ชั่นพวงมาลัยขวาส่งไปขายที่ออสเตรเลียด้วย

ถ้าคุณชอบ/ไม่ชอบดีไซน์ของ Zeekr (ทุกรุ่นยกเว้น 001 ตัวแรก) ก็ให้หาอีเมลของ Stefan Sielaff แล้วส่งคอมเมนต์ไป คุณคนนี้ เป็นบอสนั่งคุมฝ่ายออกแบบของ Geely Group ครับ และเป็นคนที่เคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ Bentley และเคยทำงานกับ Audi มาก่อนโดยมีผลงานเป็นรุ่น A1 กับ A7 มาก่อน ตาคนนี้ความถนัดของแกจริงๆคือการออกแบบภายใน ส่วนงานออกแบบรถทั้งคันนั้น เป็นหน้าที่ของดีไซนเนอร์ที่ Gothenburg Center ช่วยกันทำก่อนส่งให้ Sielaff เซ็นอนุมัติครับ

Stefan Sielaff มองว่ารถ EV นั้นเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงเทคโนโลยี เพราะฉะนั้น เขาจะขายความล้ำยุคเป็นหลัก แต่จะทันสมัยอย่างเดียวไม่ได้ ความที่เคยทำงานให้ Bentley ทำให้เขารู้สึกว่า การออกแบบที่จะสร้างความประทับใจให้ลูกค้าระดับพรีเมียมได้นั้น จะต้องเป็นงาน Hand-made เหมือนสั่งทำกับช่างฝีมือชั้นดี ปัญหาก็คือ Zeekr ไม่ใช่รถ Handmade ดังนั้นโจทย์ก็คือ จะทำภายนอกและภายในอย่างไรให้มันออกมาดูเหมือนงานสร้างของมืออาชีพ มันจะมีการใช้สีสันแต้มตามจุดต่างๆเช่นสวิตช์สีทองแดง มีการทำดีเทลเป็นลายตามจุดต่างๆเพื่อไม่ให้ดูจืดตาเกินไป มีการผสมผสานระหว่างวัสดุนุ่ม และวัสดุเงาที่พอเหมาะ ที่ผมเขียนนี้ไม่ได้จะบอกว่า Zeekr หรูเท่า Bentley เลยนะครับ แต่อยากให้ลองไปดู 009 MPV แล้วลองนั่งข้างในดู คุณจะรู้สึกว่ามันมีบรรยากาศเหมือนคาเฟ่ในสวีเดนปนอยู่ วิธีการกด ลาก ถู แตะ เพื่อใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ ก็เป็นสัมผัสที่ทำให้รู้สึกถึงความล้ำสมัย

บางคนเห็นรถแล้ว ก็รู้สึกโอเคกับดีไซน์ กับอุปกรณ์ แต่ยังไม่มั่นใจกับความมุ่งมั่นระยะยาวของแบรนด์ เรื่องแบบนี้ ผมก็ไม่ขออวยหรือเชียร์ เพราะมันเป็นเรื่องของเวลา และความตั้งใจของบริษัทในการพิสูจน์ แต่ถ้าดูจากแนวโน้มทางธุรกิจ ผมว่า Zeekr มาไทยแล้ว ไม่น่าจะถอนตัวไปง่ายๆ เพราะดูจากการรุกตลาดในแถบนี้ ภายในปีเดียว Zeekr เข้ายึดหัวหาดประเทศในกลุ่มอาเซียนไปเยอะแล้ว นอกจากไทย เขาก็เข้าไปทำตลาดในลาวมาสักพักแล้ว รวมถึงฟิลิปปินส์ เมียนมาร์ และหลังจากไทยแล้ว ก็จะเปิดตลาดที่เวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลย์เซียอีกด้วย นี่เป็นหนึ่งในแผนการรุกอย่างหนัก ชนิดที่คาดกันว่า ภายในสิ้นปี 2024 ทั่วโลก ตั้งแต่ยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือ ไปจนถึงประเทศรอบมหาสมุทรแปซิฟิก จะมี Zeekr ขายใน 50 ประเทศ

สำหรับตลาดโลก ภายใน 2 ปีนี้ Zeekr จะมีรถรุ่นใหม่มาอีก 6 รุ่น ซึ่งจะประกอบด้วยทั้งรถทรงครอสโอเวอร์ SUV, รถแบบสเตชั่นแวก้อนที่ทำมาเอาใจฝั่งยุโรป และรถ MPV พิกัดเล็กกว่า 009 ลงมา ซึ่งรถรุ่นที่ว่านี้ ได้ข่าวว่าชื่อ Zeekr Mix เป็นรถขนาดตัวสั้นกว่า Honda Accord ราว 1 ฟุต จัดที่นั่งเป็น 2 แถวแบบ 3+3 ลำตัวกว้าง 1.9 เมตร แม้จะมีแค่ 2 แถว แต่ขายเรื่องความสบายในการนั่งของคนในแถวสอง และความอเนกประสงค์ในการจัดพื้นที่ภายใน ส่วนรุ่นที่จะเป็นตัวถังสเตชั่นแวก้อน ก็คือรุ่น 007SW ที่เอารุ่น007 บอดี้ 4 ประตูมาต่อท้ายนั่นเอง

นี่ล่ะครับคือจุดเริ่มต้น สภาพปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคตสำหรับแบรนด์หน้าใหม่อย่าง Zeekr ที่ผมสรุปให้ฟังได้ในขณะนี้ ส่วนเรื่องการลดราคาในอนาคตว่าจะมีหรือไม่นั้น ผมไม่เอาหัวตัวเองเป็นประกันหรอกครับ แต่เมื่อไปงานทดสอบที่เมืองทองธานี ผมก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณ Alexander Bao (เรียกว่าคุณอเล็กซ์ได้) คุณคนนี้เป็นผู้อำนวยการดูแลธุรกิจของ Zeekr ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขาก็ยืนยันมาว่า “No price war krub” คือด้วยตัวแบรนด์ของ Zeekr นั้นถ้าตั้งตัวเป็นพรีเมียมแล้วมาขายด้วยการลดราคา มันไม่ใช่ภาพลักษณ์เชิงบวกสำหรับการเริ่มต้น ถ้าจะแข่งก็จะไปแข่งที่ความพอใจหลังการซื้อ การบริการ และคุณภาพของตัวรถมากกว่า

ผมเรียนแจ้งให้ท่านผู้อ่านทราบตามนี้ ส่วนเชื่อหรือไม่ ผมว่ารอดูอีกสักปีสองปี ค่อยกลับมาทบทวนกัน แต่ตามมารยาทเจ้าบ้านที่ดี เราต้องให้โอกาสเขาได้พิสูจน์ตัวก่อนสักพักครับ

Pan Paitoonpong