เนต้า เผยยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าของ NETA ในไตรมาสแรกของปี 67 เติบโต 12.1% ขณะที่ยอดจองรถในงาน Motor Show 2024 สูงถึง 1,618 คัน พร้อมเปิดตัว NETA X รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์ SUV ย้ำราคาไม่เกิน 1 ล้าน

มร.ชู กังจื้อ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของ NETA ในประเทศไทย ในไตรมาส 1/67 เนต้า มียอดจดทะเบียนกว่า 2,800 คัน เติบโตขึ้น 12.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ 66 ซึ่งมียอดจดทะเบียน 2,500 คัน ขณะเดียวกัน NETA สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้าถึง 13% ในขณะที่ยอดจองรถในงาน Motor Show 2024 ที่ผ่านมา NETA มียอดจองรวม 1,618 คัน

ทั้งนี้ NETA ขอขอบคุณลูกค้าคนไทยที่ไว้วางใจในแบรนด์ NETA และสนับสนุนให้เราเติบโตอย่างมั่นคงในในตลาดเมืองไทย ทั้งนี้บริษัทฯ จะเร่งดำเนินการส่งมอบ NETA V-II ให้กับลูกค้าโดยเร็วที่สุด และกำลังอยู่ในช่วงของการเตรียมเปิดตัว NETA X สู่ตลาดประเทศไทยด้วยราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ในไตรมาส 2/67

สำหรับ NETA X เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% สไตล์ Compact SUV โดดเด่นด้วยดีไซน์ มาพร้อมพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวางตอบสนองไลฟ์สไตล์ความบันเทิงของคนรุ่นใหม่ และฟังก์ชันการใช้งานด้วยระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ ให้ระยะทางในการขับขี่ที่ไกลถึง 500 กิโลเมตร สำหรับผู้ที่สนใจสามารถจองได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

...

มร.ชู กังจื้อ กล่าวอีกว่า เมื่อเร็วๆ นี้บริษัทได้มีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง NETA กับรัฐบาลฮ่องกง ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวรัฐบาลฮ่องกงจะมอบเงินสนับสนุนกว่า 200 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงให้กับ NETA และเงินลงทุนกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ในฐานะผู้ลงทุนหลัก

ทั้งนี้ นับเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับภาครัฐบาล โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ในภูมิภาคนี้ ยิ่งไปกว่านั้น NETA ยังจะได้รับเงินสนับสนุนเพิ่มเติมจากนครหนานหนิง เพื่อขยายศักยภาพการดำเนินธุรกิจของแบรนด์ NETA สู่ตลาดภายนอกประเทศจีนมากขึ้น

สำหรับการดำเนินงานในประเทศไทยในปี 2567 NETA จะดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ All in Thailand, All for Thailand ที่มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย ซึ่งประกอบด้วย 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การเริ่มต้นการผลิตภายในประเทศร่วมกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์

รวมถึงการยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่ทรงพลังและติดตั้งเทคโนโลยีขั้นสูงรวมถึงการเพิ่มสัดส่วนของสมาชิกทีมที่เป็นคนไทยมากกว่า 85% การพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่ายที่มีศักยภาพสูงให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมไปถึงการสร้างแบรนด์ที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นสำคัญ.