Mercedes-Benz เดินตามแผนงานเดิมที่วางเอาไว้ ด้วยการทยอยเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าในสายการผลิตเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา (2565) กับยานยนต์ไฟฟ้าซาลูน EQS 450+ รุ่นนำเข้า ที่มีราคาสูงมาก (8,570,000 บาท) มาถึงช่วงปลายปีนี้ EQS กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกนำมาประกอบในประเทศไทยเพื่อกดราคาลงมา ล่าสุด Mercedes-Benz Thailand จัดซาลูนหรู EQS 500 4MATIC AMG Premium มอเตอร์คู่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic กำลัง 330kW หรือ 449 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 855 นิวตันเมตร ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า มอเตอร์ด้านหน้าและด้านหลังจำนวนสองตัว ทำงานผ่านระบบเฉลี่ยแรงบิดด้วยซอฟต์แวร์แบบใหม่ในชุดขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic เพื่อเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ในเวลาเพียงแค่ 4.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 210 กม./ชม. ด้วยราคาในรุ่น CKD ประกอบในประเทศที่ราคา 7,900,000 บาท แพงกว่าคู่แข่งอย่าง BMW i7 301,000 บาท

Mercedes EQS 500 4Matic ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่มีความจุสุทธิ 107.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง (รวม 120 กิโลวัตต์ชั่วโมง) EQS 500 4Matic กำลัง 449 HP ระยะทาง WLTP 677 กม.

...

ตัวถังโค้งมนเพื่อเน้นประสิทธิภาพด้านแอร์โรไดนามิก การลดแรงต้านของกระแสลมคือเป้าหมายหลักของการทำระยะทางและประหยัดพลังงาน Mercedes EQS มีค่าสัมประสิทธิแรงเสียดทานอากาศเพียง 0.20 (cd 0.20) ในขณะที่ BMW i7 มีค่าสัมประสิทธิแรงเสียดทาน 0.24 (cd 0.24) โดยปกติแล้ว ค่า cd ที่ต่ำ หมายถึงการสิ้นเปลืองพลังงานน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ความเร็วมากกว่า 70 กม./ชม.ขึ้นไป อากาศพลศาสตร์จะเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อไดนามิกของรถและอัตราสิ้นเปลืองพลังงาน อย่างไรก็ตามข้อมูล WLTP อย่างเป็นทางการ ไม่ได้แสดงความแตกต่างที่มีนัยสำคัญ Mercedes EQS 500 4Matic ใช้พลังงานระหว่าง 18.2 ถึง 21.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กม. ส่วน BMW i7 xDrive60 อยู่ระหว่าง 18.4 ถึง 19.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กม.

การใช้พลังงานที่ใกล้เคียงกันของรถทั้งสองคัน หมายถึงระยะทางของการวิ่งที่ทำได้ใกล้เคียงกัน แต่มีข้อได้เปรียบเล็กน้อยสำหรับ Mercedes EQS 500 ซาลูนไฟฟ้า เมื่อมองดูที่ตัวเลข BMW i7 xDrive60 มีช่วงระยะทางเมื่อชาร์จเต็ม WLTP ระหว่าง 590 ถึง 625 กม. ขณะเดียวกัน Mercedes EQS 500 4Matic เมื่อชาร์จไฟจนเต็มจะวิ่งได้ระหว่าง 582 ถึง 679 กม. อย่างไรก็ตาม EQS 500 ไม่ใช่ซาลูนไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพด้านการเบ่งบานระยะทางได้สูงสุด เนื่องจาก EQS 450+ รุ่นมอเตอร์เดี่ยว ที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่เท่ากันที่ 120 kWh รวม (107.8 kWh) สามารถวิ่งได้ 770 กม. แบบรวดเดียวโดยไม่ต้องแวะสถานีชาร์จเพื่อเติมไฟ แบตเตอรี่ของ BMW i7 มีกำลังไฟ 101.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง และเนื่องจากค่าสัมประสิทธิ์แอโรไดนามิกสูงกว่าเล็กน้อย คาดว่าแบตเตอรี่จะต่ำกว่าช่วงระยะการวิ่งของ EQS 500 เล็กน้อย 

ความเร็วในการชาร์จแบตเตอรี่ BMW i7 มีข้อมูลว่า สามารถชาร์จได้ 195 กิโลวัตต์ ที่สถานี DC ส่วน Mercedes EQS 500 จัดไฟกระแสตรงอัดเข้าแบตฯได้ถึง 200 กิโลวัตต์ (หากมีสถานีมหาพลังประจุไฟฟ้าดังกล่าว!) แบตเตอรี่ของ EQS 500 ชาร์จจาก 10 ถึง 80% ใน 30 นาที ส่วน BMW i7 ชาร์จจาก 10-80% ใน 34 นาที แทบจะไม่แตกต่างกัน ส่วนที่สถานีชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ AC BMW i7 จะชาร์จไฟ 11 กิโลวัตต์ชั่วโมง ในเวลา 9 ชั่วโมงครึ่ง ในขณะที่ Mercedes-EQS 500 ต้องใช้เวลา 10 ชั่วโมง ส่วนไฟบ้านแบบไม่มี Wallbox ต้องเสียบแช่ไว้นานสองวันสองคืนเลยทีเดียว 

...

EQS เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นแรกที่ Mercedes ออกแบบและสร้างแพลตฟอร์มขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยใช้แพลตฟอร์ม Electric Vehicle Architecture (EVA) Mercedes-Benz ตัดสินใจพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับหรูใหม่ทั้งหมด ด้วยแพลตฟอร์มพิเศษที่รองรับระบบส่งกำลังไฟฟ้า แม้ว่ามันจะดูคล้ายกับรถยนต์สันดาปภายในอย่าง CLS แต่จริงๆ แล้ว EQS นั้นยาวกว่าเล็กน้อย เมื่อคำนึงถึงข้อมูลตัวเลข รูปแบบของระบบขับเคลื่อน และสภาพการควบคุมหลังพวงมาลัย เป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจว่าทำไม EQS ถึงดูไม่เหมือน S-Class ทั่วไป แต่เหมือนกับ CLS จากรูปแบบและวัตถุปประสงค์ของการใช้งานที่มุ่งไปสู่การขับมากกว่าการนั่งโดยสาร รูปลักษณ์ที่โค้งมน ฝากระโปรงหน้ารถสั้นและเชื่อมต่อกับกระจกบังลมที่ทำมุมอย่างพอดี รวมเข้ากับแนวหลังคาที่ค่อนข้างโค้งเล็กน้อย และปิดท้ายด้วยส่วนท้ายที่สูงขึ้นกับไฟท้ายเชื่อมต่อกันด้วยเส้นกึ่งกลาง

...

...

เมื่อมองจากด้านข้าง เส้นสายต่างๆ ของ EQS ดูเหมือนจะคล้ายกับยานยนต์ต้นแบบอย่าง Vision EQS ที่เราเคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้ งานดีไซน์เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ Mercedes เรียกว่า "การออกแบบคันธนู" ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การทำให้รถมีหลักอากาศพลศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม ด้วยการกดตัวเลขให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แอร์โรไดนามิกของยานยนต์ทุกประเภทมีความสำคัญ เนื่องจากรถที่ลื่นไหลลู่ลม เป็นรถที่มีแรงต้านน้อย มีประสิทธิภาพด้านระยะทางที่เพิ่มขึ้นและประหยัดพลังงาน ซึ่งเท่ากับการทำระยะทางที่ไกลมาก รูปลักษณ์ของมันมีสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อให้แน่ใจว่าตัวถังจะลื่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อรถเคลื่อนที่ ซี่ล้อหลายซี่บนขอบล้อจะทำหน้าที่เป็นแผ่นโลหะป้องกันการหมุนวนของกระแสลมได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยลดแรงต้านทานอากาศ ช่องระบายอากาศที่กันชนหน้าซึ่งคุณไม่ค่อยเห็นในรถ EV ทำหน้าที่ส่งอากาศเข้าไปในซุ้มล้อและเหนือล้อเพื่อลดแรงต้านทานอากาศอีกเช่นกัน

ดีไซน์เนอร์ของ Mercedes ชี้ให้เห็นสันที่ขอบด้านนอกของไฟท้าย ถูกวางไว้ตรงนั้นเพื่อทำให้ค่าแอโรไดนามิกต่ำสุดๆ ทั้งหมดนี้ นำไปสู่ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทานอากาศที่ต่ำถึง 0.20 ทำให้ EQS เป็นรถโปรดักชันคาร์ที่มีระบบอากาศพลศาสตร์ดีที่สุดในโลก เอาชนะ Tesla Model S ที่ดูโฉบเฉี่ยวกว่าไปอย่างง่ายดาย ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียทานอากาศที่ต่ำป็นประวัติการณ์ พร้อมชุดแต่ง AMG ที่เฉพาะเจาะจง และล้อที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ ทำให้มันดูเหมือนยานแห่งอนาคตมากกว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 

EQS มีมือจับที่เปิดประตูแบบไม่ธรรมดา ลืมมือจับประตูมาตรฐานไปได้เลย มือจับที่เปิดประตูของ EQS เป็นแบบแบบเลื่อนออกหรือหดกลับเพื่อลดแรงต้านอากาศ ไม่น่าแปลกใจที่ยานไฟฟ้าสายหรูลำนี้จะมีเซนเซอร์มากถึง 350 ตัว คอยขับเคลื่อนคุณสมบัติต่างๆ ตั้งแต่ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติบนทางหลวงที่คับคั่ง ไปจนถึงการคำนวณอย่างต่อเนื่องว่าจะแวะชาร์จพลังงานไฟฟ้าได้ที่ไหน คุณสามารถทำความเร็วได้ (สูงมาก) เมื่อขับเข้าโค้ง EQS 500 มีพลังการยึดเกาะที่มหาศาลจากการเฉลี่ยแรงบิดของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic แม้ว่ายาง Goodyear Eagle F1s จะส่งเสียงครางเบาๆ แต่ก็กลมกลืนไปกับซาวด์ของ

โปรแกรมสร้างเสียงการทำงานของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า หรือ Silver Waves ให้ความรู้สึกแบบสังเคราะห์มากเกินไป ผมชอบเสียงการทำงานของเครื่องยนต์ปลอมๆ ที่ปล่อยออกมาทางลำโพง มากกว่าเสียงที่ทำออกมาคล้ายซาวด์แทร็กในหนังไซไฟ ภายใต้น้ำหนักรถทั้งคันเกือบ 2.5 ตัน ประโยชน์เชิงไดนามิกของจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง อาการโคลงตัวที่น้อยมาก เป็นความก้าวหน้าของระบบรักษาเสถียรภาพและช่วงล่าง Airmatic ทำให้ควบคุมทิศทางเป็นไปอย่างง่ายดาย แม้จะขับในย่านความเร็วสูง นี่คือโลกยุคใหม่ของยานพาหนะที่แตกต่างจากรถยนต์ทั่วไป ในแง่ของความสะอาด การยึดเกาะ และพลังในการเร่งความเร็วบวกแรงพุ่งทะยานที่ทำให้รู้สึกหวั่นเกรงว่าจะเบรกไม่อยู่!

EQS 500 เป็นรถคันใหญ่ มีความยาวมากกว่า CLS53 แต่คล่องตัวมากกว่าที่คุณคาดไว้ ขนาดที่ดูเหมือนจะเทอะทะแต่กลับคล่องแคล่วว่องไวราวกับ C63 ด้วยระบบบังคับเลี้ยวที่ล้อหลัง ทำให้วงเลี้ยวของยักษ์ไฟฟ้ารุ่นนี้แคบราวกับ Civic ระบบช่วยเลี้ยวที่ล้อหลังแบบมาตรฐาน มีการเลี้ยวที่ 4.5˚ เพื่อเพิ่มความเสถียรที่ความเร็วสูง หรือเข้าโค้งที่ความเร็วต่ำ แต่รถทดสอบของ Mercedes-Benz Thailand คันนี้ เพิ่มมุมเลี้ยวได้อีก 10˚ ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมราคาแพงที่ติดตั้งมาให้ใน EQS 500 เมื่อเลี้ยวกลับลำจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าระบบช่วยเลี้ยวล้อหลังทำให้วงเลี้ยวคมชัดและแคบขึ้น ทำให้รู้สึกถึงการบังคับเลี้ยวที่เบาและมีความนุ่มนวลยืดหยุ่นสูง

ความรู้สึกของการควบคุม EQS ที่แสดงออกอย่างชัดเจนก็คือ ความสบายในการเดินทาง โดยเฉพาะตำแหน่งคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า ตลอดเส้นทางทดสอบ จากสาทรเหนือมุ่งตรงไปยังอุทยานสามร้อยยอดแบบไม่ต้องแวะเติมกระแสไฟ ระบบกันกระเทือน Air Matic ทำให้การขับเดินทางไกลแทบไม่มีแรงกระเพื่อม การใช้โหมด Sport ทำให้ช่วงล่างปรับตัวเองเพื่อรับมือกับการขับเร็วเป็นไปได้อย่างสงบนิ่งและสบาย Air Matic ใน EQS 500 รับมือกับถนนที่เป็นคลื่นลอนได้อย่างมั่นใจ ล้อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 21 นิ้ว ยางเส้นโตไซส์ 265/40R21 ที่ดูเหมือนจะส่งเสียงดัง แต่มันวิ่งได้เงียบอย่างที่รถไฟฟ้าระดับ Premium ควรจะเป็น เมื่อขับด้วยความเร็วต่ำในเมือง และพุ่งทะยานอย่างเงียบสงบ คุณจะได้ยินเสียงยางที่ดังไม่มากบนมอเตอร์เวย์ เมื่อความเร็วทะยานผ่าน 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 

Mercedes กล่าวว่า EQS บรรจุแบตเตอรี่ที่มีพลังงานหนาแน่นที่สุดในปัจจุบัน แต่จุดเด่นอยู่ที่จำนวน: ความจุของสแต็คคือ 107.8kWh นั่นเป็นชุดแบตเตอรี่ที่ใหญ่มากและมีขนาดเกือบจะเท่ากับโต๊ะปิงปอง ใหญ่กว่า EQC เกือบ 30Kwh ทำให้ EQS 500 เบ่งบานระยะทางได้ 650 กิโลเมตร การทดลองขับไปจังหวัดประจวบฯ คอมพิวเตอร์เดินทางประจำรถ บันทึกอัตราสิ้นเปลืองที่ 21.9kWh ต่อ 100 กม. ซึ่งไม่ไกลจากตัวเลขเคลม บนเส้นทางจากวังมะนาวไปยังบายพาสชะอำ-ปราณบุรี ด้วยการขับแบบผสมผสาน และมีการเร่งความเร็วอย่างต่อเนื่อง คำนวณออกมาเท่ากับประมาณ 9 กิโลเมตรต่อกิโลวัตต์/ชั่วโมง 

เครื่องชาร์จ AC มาตรฐานของ EQS รองรับวอลล์บ็อกซ์ขนาด 22kW (ต้องใช้ไฟฟ้าแบบสามเฟส) - การชาร์จด้วยไฟบ้าน ใช้เวลาเทียบเท่ากับการนอนหลับเป็นเวลาสองคืนเต็มๆ แต่ถ้าใช้ตู้ชาร์จกระแสตรง DC EQS รองรับได้เหนือกว่ายานยนต์ไฟฟ้าทั่วไป มันสามารถรองรับระบบชาร์จเร็ว DC 200kW แต่เมื่อผมลองใช้ตู้ชาร์จ DC ขนาด 125kW ของ BMW ที่หัวหิน มันเติมไฟจาก 20 ไปถึง 80% โดยใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาที ได้ระยะทางจาก 250 มาเป็น 599 กิโลเมตร อัดจากหัวหินกลับเข้ากรุงเทพฯ ในช่วงดึกได้อย่างมั่นใจ

จอแสดงผล HUD บนกระจกหน้า ของ Mercedes-EQS จะฉายภาพลูกศรนำทางแบบเคลื่อนไหวไปยังถนนข้างหน้า ซึ่งเปลี่ยนไปตามทางแยก เพื่อแสดงตำแหน่งที่จะเลี้ยว EQS 500 มีอารมณ์ Energizing Comfort ที่ผ่อนคลาย เมื่อเลือกใช้ Sea Breeze เพื่อฟังเพลงของปลาวาฬและดูคลื่นกระทบผ่าน Hyperscreen ในขณะที่เบาะนั่งนวดก้นของคุณอย่างขยันขันแข็งพร้อมช่องแอร์ที่เป่าลมเย็นกับกลิ่นน้ำหอมประจำรถที่ทำให้สดชื่นตลอดการเดินทาง 

การทำงานของ EQS สามารถบันทึกโปรไฟล์ของเจ้าของและคนขับคนอื่นๆ เริ่มต้นด้วยรหัสพิน ระบบจะสแกนใบหน้าของคุณ เพื่อเชื่อมโยงกับแอป Mercedes Me บนสมาร์ทโฟน จัดเก็บการตั้งค่าทั้งหมดของคุณไว้ในโปรไฟล์ แม้กระทั่งความสูง ซึ่งช่วยให้ EQS ตั้งค่าตำแหน่งเบาะที่นั่งได้อย่างถูกต้องตามหลักสรีระศาสตร์ และการตั้งค่าเหล่านี้สามารถนำข้อมูลจาก EQS 500  ไปยัง Merc คันอื่นๆ ผ่านแอป

โดยไม่ต้องวุ่นวายลากเส้นบนภาพกราฟิกของเบาะนั่งเพื่อเลือกระดับการรองรับที่ต้องการ นั่นเป็นระบบบันทึกความจำและหน่วยใช้งานของคนขับแต่ละคนที่ใช้งานได้จริงและดี 

แรงบิด 855 นิวตันเมตรจากมอเตอร์คู่ ตัวเลขพลังงานบ่งบอกถึงกำลังมหาศาลหลังพวงมาลัย? EQS 500 ส่งกำลังได้อย่างฉับพลันทันทีไม่มีอาการรอรอบ อัตราเร่งนั้นรวดเร็วมากจนต้องระวังในเรื่องของการเผื่อระยะเบรก เมื่อสมรรถนะของรถอยู่เหนือน้ำหนัก ตัวเลขอัตราเร่ง 0 ถึง 100 ใน 4.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดที่ 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยการควบคุมของระบบอิเล็กทรอนิกส์

สิ่งที่น่าประทับใจอีกอย่างก็คือสำหรับเครื่องจักรที่มีขนาดเท่านี้มันสามารถจัดการกับทุกอย่างได้ดีมาก EQS 500 มีความแม่นยำและคุณภาพงานประกอบก็ดี การบังคับเลี้ยวของเพลาล้อหลัง ตามมาตรฐานแล้วล้อหลังใน EQS หมุนได้ 4.5 องศา แต่คุณสามารถจ่ายเงินเพื่อปลดล็อกได้ที่ 10 องศา ที่ความเร็วต่ำกว่า 60 กม./ชม. ล้อหลังจะหมุนในทิศทางตรงกันข้ามกับล้อหน้า ทำให้ควบคุมรถได้ง่ายขึ้นและจอดในพื้นที่จำกัด และที่ความเร็วสูงกว่า 60 กม./ชม. ล้อหลังจะหมุนไปในทิศทางเดียวกับล้อหน้า ทำให้รถรู้สึกเหมือนกำลังเคลื่อนที่อยู่บนพรม (อย่างราบรื่น) ทำให้การควบคุมและเสถียรภาพดีขึ้นพร้อมกัน ระบบช่วยเลี้ยวล้อหลังที่หมุนได้ 10 องศา หมายความว่ามันจะมีวงเลี้ยวเพียง 10.9 เมตร นอกจากนี้ยังสนุกกับการขับบนทางคดเคี้ยวได้อย่างแม่นยำ เมื่อสปีดความเร็วข้ามผ่าน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในโหมด "สปอร์ต" Air Matic จะลดความสูงของรถลง 20 มม. ซึ่งเป็นการลดจุดศูนย์ถ่วงที่ช่วยลดแรงต้านลมและเพิ่มเสถียรภาพในย่านความเร็วสูง แบตเตอรี่ของรถถูกติดตั้งไว้กับพื้นรถ หมายความว่าจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ทั้งหมดนี้ส่งผลต่อพฤติกรรมของรถบนท้องถนน โดยเฉพาะอัตราเร่งแซงที่น่ากลัวของมันนั้นน่าประทับใจมาก

เหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้ EQS มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ผ่อนคลาย เป็นเพราะ EQS 500 แยกคนขับและผู้โดยสารออกจากเสียงยาง เสียงลม และแน่นอนว่าการไม่มีเครื่องยนต์หมายความว่ามันจะไม่มีเสียงดังหรือแรงสั่นสะเทือน โปรไฟล์เสียงประดิษฐ์สามรูปแบบ เช่น Silver Waves, Vivid Flux และ Roaring Pulse หากคุณต้องการการกระตุ้นจินตนาการแนวนิยายวิทยาศาสตร์ก็กดเลือกโหมดเสียงได้เลย หลังจากนั้นการได้ยินบางอย่างในขณะที่คุณอยู่หลังพวงมาลัย ในย่านความเร็วสูง กลับกลายเป็นเรื่องแปลกและไม่คุ้นเคย แต่การเก็บเสียงที่ยอดเยี่ยม เท่ากับเพิ่มความอุ่นใจให้กับคนที่ชอบความสงบขณะเดินทาง ซึ่งสำคัญกว่าเสียงประดิษฐ์แปลกๆ ที่ EQS 500 ติดตั้งมาให้ใช้งาน 

หน้าจอขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อจอภาพทั้งสามให้รวมเป็นหนึ่งเดียว ถูกปิดด้วยกระจก สั่งงานด้วยระบบสัมผัส และรวมเข้าด้วยกันอย่างลงตัวเป็นจอภาพ Hyperscreen ขนาด 56 นิ้ว ที่ Mercedes ถือว่าเป็นจุดเด่นของงานตกแต่งภายใน จอภาพ Hyperscreen เป็นอุปกรณ์มาตรฐานใน EQS มันดูเหลือเชื่อว่าจะมียานพาหนะที่มีจอภาพใหญ่และทันสมัยขนาดนั้น หน้าจอที่ใช้ระบบสัมผัสเหมือน iPad เต็มไปด้วยฟังก์ชันการใช้งานนับร้อยรายการ ในแง่ของขนาด ความเร็ว และความสามารถในการใช้งานนั้นดีเยี่ยม แม้ว่าระบบ MBUX ของ Mercedes ที่มีฟังก์ชัน Zero-layer จะเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่และเร็วกว่าหน่วยแสดงผลแบบคลาสสิกก่อนหน้านี้ แต่การสั่งงานต้องใช้ความคุ้นเคยในการเรียนรู้และเข้าถึงระบบต่างๆ ปัญญาประดิษฐ์ AI ผู้ช่วยอัจฉริยะของ Mercedes ที่สามารถออกคำสั่งกระตุ้นระบบให้ทำงาน โดยใช้คำว่า "Hey Mercedes" ทำให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้น ไม่ว่าจะสั่งเปิดฟังก์ชันนวดบนเบาะคนขับ AI ก็ตอบสนองและทำตามคำสั่งได้อย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตามการจะให้ AI ปิดระบบนวด ต้องใช้ความพยายามมากกว่านี้เล็กน้อย AI ยังช่วยเตือนผมว่า เบาะหลังของ EQS 500 ที่ผมกำลังขับอยู่นั้นไม่มีฟังก์ชันนวด 

เบาะหลังมีพื้นที่พอสมควร พื้นที่เหนือศีรษะและพื้นที่วางขากว้างขวางใช้ได้ การเพิ่มหน้าจอที่ด้านหลังของเบาะคู่หน้าเหมือนกับ S-Class ระบบกันสะเทือน Air matic ของ Mercedes ลดแรงสั่นสะเทือนด้วยโช้คอัพถุงลมไฮดรอลิกที่ปรับค่าการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการกระแทกจะไม่ถูกส่งผ่านเข้าไปในห้องโดยสารและรบกวนคนขับ พื้นที่เก็บสัมภาระใต้ฝากระโปรงหลังมีขนาดที่ใหญ่เอาเรื่อง มันมีพื้นที่เก็บของ 610 ลิตร ซึ่งจะเพิ่มเป็น 1,770 ลิตรเมื่อพับเบาะหลังแบบแยกส่วน หมายความว่า EQS 500 มีที่ว่างเพียงพอสำหรับเก็บสัมภาระพวกกระเป๋าใบโต สำหรับการเดินทางช่วงสุดสัปดาห์

การเดินทางที่ไม่ต้องหยุดเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ไกล 580 กิโลเมตร เป็นเรื่องที่ดี ผมขับทดสอบไป-กลับกรุงเทพฯ สามร้อยยอด ระยะทางประมาณ 650 กม. โดยไม่ต้องเผชิญกับความกังวลใดๆ นอกจากต้องแวะชาร์จขากลับเพื่อความมั่นใจสำหรับทำความเร็ว ที่สถานีชาร์จ DC ของ BMW แถบหัวหิน แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนของ EQS 500 สามารถชาร์จได้ในอัตรา 125kW ซึ่งหมายความว่าใน 30 นาที คุณจะเพิ่มระยะทางจาก 250 กม. เป็นเกือบ 600 กิโลเมตร! ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและระยะทางของ EQS 500 คือโหมดสะสมพลังงานที่มาพร้อมกับรถ มันนำไปสู่การดึงพลังงานจลน์กลับคืนมา เมื่อลดความเร็ว หรือเบรก แป้น Paddle Shift ที่ด้านหลังของพวงมาลัยช่วยให้สลับระหว่างโหมด D+, D และ D- ในขณะที่ D-Auto ระบบจะตัดสินใจได้ว่าอะไรเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกู้คืนพลังงาน ซึ่งจะส่งผลอย่างมากต่อระยะทาง 

หลังจากขับทดสอบทางไกลยาว 650 กิโลเมตร คนของ Mercedes-Benz เปิดเผยความจริงว่า เมื่อวิศวกรของบริษัทฯ ออกแบบและสร้าง EQS เป้าหมายของพวกเขาคือการเป็นยานยนต์ EV ระดับพรีเมียมที่ดีที่สุดในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม พวกเขาต้องการให้ภายนอกดูดีเหมือนกับห้องนั่งเล่นหรูๆ ที่มีล้ออยู่ข้างใน และเดินทางไกลได้โดยไม่ต้องกังวล 

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า Mercedes-EQ วางตัวอยู่ตรงกลางของสเปกตรัม The Best or Nothing แต่ EQS ซึ่งใช้แพลตฟอร์ม EV แท้ๆ แบบสั่งทำพิเศษรุ่นแรกของบริษัทฯ แทนที่จะเป็นแพลตฟอร์มเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบดัดแปลง ทำให้ EQS ประสบความสำเร็จในหลายด้าน ทั้งฟิลลิ่งการควบคุม ความสบายเมื่อขับทางไกล (มาก) และระยะเวลาในการชาร์จไฟกระแสตรง EQS 500 นั้นเหมาะสมมากสำหรับการขับทางไกล มันเป็นรถที่มีรูปลักษณ์สวยงามน่ามอง รุ่น 500 ประกอบในประเทศ ขับได้ดีกว่ารุ่น 450+ ด้วยระบบขับเคลื่อน 4Matic คุณสมบัติทางอิเล็กทรอนิกส์ของมอเตอร์คู่ที่มีกำลังมหาศาล มันมีให้คุณตั้งแต่ความสนุก ไปจนถึงความสมาร์ท จนบรรลุไปถึงความยอดเยี่ยม ถ้า S-class คือตัวเลือกแรกสำหรับท่านประธานาธิบดีและผู้มีอำนาจ หรือผู้บริหารระดับสูง รถไฟฟ้าอย่าง EQS ก็มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นทางเลือกในการเดินทางไกล สำหรับเศรษฐียุคใหม่ที่ใส่ใจและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัว.

Mercedes-EQS 500 4Matic Premium Real Range Estimation

between 445 - 845 km
City - Cold Weather 570 km
Highway - Cold Weather 445 km
Combined - Cold Weather 510 km
City - Mild Weather 845 km
Highway - Mild Weather 580 km
Combined - Mild Weather 700 km

Performance
Acceleration 0 - 100 km/h 4.8 sec
Top Speed 210 km/h
Electric Range * 605 km
Total Power 330 kW (449 PS)
Total Torque 855 Nm
Drive AWD

Battery
Nominal Capacity 120.0 kWh
Battery Type Lithium-ion
Number of Cells 432
Architecture 400 V
Useable Capacity 107.8 kWh
Cathode Material NCM811
Pack Configuration 108s4p
Nominal Voltage 396 V

Charging
Charge Port Type 2
Port Location Right Side - Rear
Charge Power 11 kW AC
Charge Time (0->605 km) 11h45m
Charge Speed 52 km/h
Fastcharge Port CCS
FC Port Location Right Side - Rear
Fastcharge Power (max) 207 kW DC
Fastcharge Time (61->484 km) 28 min
Fastcharge Speed 900 km/h
Click here for all charging information

Energy Consumption
EVDB Real Range
Range 605 km
Vehicle Consumption 178 Wh/km
CO2 Emissions 0 g/km
Vehicle Fuel Equivalent  2.0 l/100km
WLTP Ratings (TEL)
Range 672 km
Rated Consumption 176 Wh/km
Vehicle Consumption 160 Wh/km
CO2 Emissions 0 g/km
Rated Fuel Equivalent 2.0 l/100km
Vehicle Fuel Equivalent 1.8 l/100km
WLTP Ratings (TEH)
Range 588 km
Rated Consumption 212 Wh/km
Vehicle Consumption 183 Wh/km
CO2 Emissions 0 g/km
Rated Fuel Equivalent 2.4 l/100km
Vehicle Fuel Equivalent 2.1 l/100km

Real Energy Consumption Estimation
between 128 - 242 Wh/km
City - Cold Weather 189 Wh/km
Highway - Cold Weather 242 Wh/km
Combined - Cold Weather 211 Wh/km
City - Mild Weather 128 Wh/km
Highway - Mild Weather 186 Wh/km
Combined - Mild Weather 154 Wh/km

Dimensions and Weight
Length 5,216 mm
Width 1,926 mm
Width with mirrors 2,125 mm
Height 1,512 mm
Wheelbase 3,210 mm
Weight Unladen (EU) 2,615 kg
Gross Vehicle Weight (GVWR) 3,060 kg
Max. Payload 520 kg
Cargo Volume 610 L
Cargo Volume Max 1,770 L
Cargo Volume Frunk 0 L
Roof Load 100 kg
Tow Hitch Possible Yes
Towing Weight Unbraked 750 kg
Towing Weight Braked 750 kg
Vertical Load Max No Data