ทุกวันนี้รถยนต์เปรียบเสมือนเพื่อนคู่กายที่ไม่ว่าจะไปไหนก็ต้องไปด้วยกันเสมอ นับเป็นเพื่อนร่วมทางคนสำคัญที่พาเราออกไปใช้ชีวิตได้ในแบบที่เราต้องการ และถ้ามีดีไซน์ที่สวยงามสะกดทุกสายตาก็จะยิ่งเพิ่มความโดดเด่น และที่สำคัญเมื่อผู้คนเริ่มหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์รุ่น Honda HR-V e:HEV ที่มีระบบขับเคลื่อน Full Hybrid ช่วยลดอัตราการปล่อยคาร์บอนให้น้อยลง และช่วยประหยัดน้ำมันให้รถยนต์เดินทางได้ไกลขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้งานด้วยห้องโดยสารขนาดกว้าง ทำให้ขนของหรือรองรับผู้โดยได้เยอะขึ้น และมาพร้อมศูนย์บริการที่ครอบคลุมทุกเส้นทาง ทำให้มั่นใจได้ตลอดทุกการเดินทางว่าฮอนด้าพร้อมอยู่เคียงข้างคุณเสมอ

ขับเคลื่อนชีวิตไปสู่อนาคตที่มั่นใจกับระบบขับเคลื่อน Full Hybrid e:HEV ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ระบบขับเคลื่อน Full Hybrid จากฮอนด้าเป็นการทำงานของเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน (Lithium-ion) ซึ่งทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาด ตั้งแต่การออกตัว การขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ การใช้ความเร็วสูง และระหว่างลดความเร็ว โดยระบบจะเลือกและปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่อย่างอัจฉริยะ ทั้งโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) เพื่อมอบสมรรถนะการขับขี่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งรถยนต์ Full Hybrid ยังช่วยในเรื่องประหยัดน้ำมัน และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับที่ต่ำ ทำให้เป็นรถยนต์อีกหนึ่งชนิดที่ตอบโจทย์ด้านการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังรับประกันแบตเตอรี่ตลอด 10 ปีอีกด้วย

• โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode)

การขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ และในขณะที่รถยนต์กำลังลดความเร็วจะเปลี่ยนพลังงานที่เกิดจากการลดความเร็วเป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อชาร์จกลับไปยังแบตเตอรี่อีกครั้ง โดยระบบนี้จะให้ทั้งสมรรถนะที่ดีในการขับขี่ และความเงียบของเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นระบบที่เหมาะสำหรับการขับขี่ภายในเมือง

• โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode)

เป็นระบบขับเคลื่อนที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากเครื่องยนต์และพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ผสานกำลังในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้เกิดแรงบิดสูงสุดอย่างรวดเร็ว มีอัตราเร่งที่ตอบสนองทันใจ และในขณะลดความเร็ว เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน และชาร์จไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่ในขณะเร่งความเร็ว

• โหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode)

พลังขับเคลื่อนในโหมดนี้จะมาจากเครื่องยนต์ชุดล็อกอัพคลัตช์ที่อยู่ในเกียร์ E-CVT โดยจะเชื่อมต่อกับเครื่องยนต์ พร้อมส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังล้อ เพื่อให้ประสิทธิภาพที่สูงและแรงเสียดทานที่ต่ำ ซึ่งเป็นระบบที่เหมาะสำหรับขับขี่ด้วยความเร็วสูงแบบคงที่

ตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยอย่างครบครัน

Honda SENSING เป็นเทคโนโลยีความปลอดภัยของฮอนด้า ที่ช่วยควบคุมรถในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ตัวผู้ขับขี่และผู้ร่วมทางบนท้องถนนมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น โดยระบบ Honda SENSING จะผสานการทำงานเสมือนประสาทสัมผัสแห่งอนาคต เพราะมีกล้องหน้าที่สามารถตรวจจับสภาพแวดล้อมบนท้องถนน พร้อมกับช่วยแจ้งเตือนคนขับให้ควบคุมรถในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้

• ระบบเตือนการชนรถพร้อมระบบช่วยเบรก

Collision Mitigation Braking System หรือ CMBS เป็นระบบที่ช่วยเตือนผู้ขับขี่ให้ลดความเร็ว เมื่อมีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือคนเดินถนนอยู่ในระยะที่ไม่ปลอดภัย โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง รวมถึงมีการสั่นเตือนของพวงมาลัย ซึ่งหากผู้ขับขี่ยังไม่ตอบสนองหรือในกรณีที่อยู่ในระยะที่เสี่ยงต่อการชน ระบบจะช่วยเสริมแรงเบรกให้อัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนหรือลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ

• ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้า

Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow หรือ ACC with LSF เป็นระบบช่วยควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ตามที่ผู้ขับขี่ตั้งค่าไว้ และระบบจะปรับความเร็วอัตโนมัติโดยมีกล้องตรวจจับรถคันหน้า เพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างเหมาะสม และในการขับที่ความเร็วต่ำ หรือเมื่อต้องเจอรถติด ที่รถค่อยๆ เคลื่อนตัวได้อย่างช้าๆ ระบบจะช่วยปรับความเร็วให้รถเคลื่อนที่ตามรถคันหน้า รวมถึงเบรกและหยุดตามอัตโนมัติ ระบบจะเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อผู้ขับขี่กดปุ่มที่พวงมาลัยหรือเหยียบคันเร่ง

• ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ

Lane Keeping Assist System หรือ LKAS เป็นระบบที่ใช้กล้องหน้าตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องเดินทางไกล และรู้สึกเหนื่อยล้า จนอาจเผลอปล่อยพวงมาลัยเบี่ยงออกนอกเส้นแบ่งช่องถนน โดยระบบดังกล่าวจะเพิ่มแรงหน่วงให้กับพวงมาลัย เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถอยู่ภายในช่องทางได้เหมือนเดิม

• ระบบเตือนที่ช่วยควบคุมพวงมาลัย เมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ

Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning หรือ RDM with LDW เป็นระบบที่ใช้กล้องหน้าตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางจราจร หากพบว่ารถอยู่ในสภาวะเบี่ยงออกนอกช่องทางโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนไปที่หน้าจอแสดงข้อมูล พร้อมกับสั่นเตือนด้วยพวงมาลัย และในกรณีที่รถเริ่มเบี่ยงออกนอกช่องทางมากขึ้น ระบบจะช่วยหน่วงพวงมาลัยเพื่อให้รถกลับเข้าสู่ช่องทางได้เหมือนเดิม ซึ่งหากรถยังคงเบี่ยงออกนอกช่องทาง ระบบเบรกจะทำงานเพื่อชะลอความเร็ว (ในกรณีเส้นแบ่งถนนเป็นเส้นทึบ) เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุในภายหน้า

บริการหลังการขายที่สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและใส่ใจสิ่งแวดล้อม

นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างรอยยิ้มให้ผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างดี เพราะมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญในหลาย ๆ ด้านคอยให้บริการ อาทิ บริการซ่อมตัวถังและสี (Honda Body&Paint) ที่มีนวัตกรรมพ่นสีสูตรน้ำ Waterborne ซ่อมสีรถยนต์ให้เงางามเหมือนใหม่ คงทนในทุกสภาวะ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากการลดปริมาณการใช้สารเคมีอีกด้วย รวมถึงมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ 24 ชั่วโมง ให้บริการรถยกลากไปยังศูนย์บริการฮอนด้าที่ใกล้ที่สุด เพื่อตรวจสอบปัญหารถยนต์ ดูแลครอบคลุมตลอดระยะเวลา 3 ปี โดยไม่จำกัดระยะทางและจำนวนครั้ง นอกจากนี้ยังมีศูนย์บริการครอบคลุมทั้งประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ที่ภาคไหนก็ให้ความอุ่นใจทุกครั้งเมื่อเข้ามาใช้บริการ

มาสร้างความมั่นใจไปกับฮอนด้า ด้วยรถยนต์ Honda HR-V e:HEV ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ทั้งด้านความแรง ประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาพร้อมระบบขับเคลื่อน Full Hybrid ที่ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่ช่วยเสริมความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ตลอดทุกเส้นทาง