พักหลังๆ มานี่เหมือนวงการมวยไทยจะดูซบเซาลงไปมาก กระทั่งเมื่อเปิดหน้าจอทีวี เห็นมีนักมวยหน้าสวยคนหนึ่งขึ้นชกครั้งใดใส่เต็มทุกยก ปล่อยทั้งหมัด สาดทั้งเข่า แทงทั้งศอก วาดลวดลายบนผืนผ้าใบอย่างดุดัน ผิดกับท่าทางและหน้าตาอันหวานหยดย้อย ทำเอาคนดูเฮลั่นกันทั้งสนาม ซึ่งได้เรียกสีสันให้กลับมาสู่วงการมวยอีกครั้ง

เขาคนนี้ อ่อ...ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่า ‘เธอ’ คนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นคือ ‘น้องโรส บ้านเจริญสุข’ หรือ นายสมรส ผลเจริญ วัย 20 ปีเท่านั้นเอง

สำหรับเรื่องราวจุดเริ่มต้นในการขึ้นสังเวียน นักมวยนะยะแข้งหนัก เล่าให้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ฟังว่า เธอเริ่มต้นชกมวยมาตั้งแต่ 8 ขวบ โดยมีญาติทำค่ายมวยอยู่ ด้วยความที่เห็นการชกตั้งแต่เกิดจนซึมซับและอยากลองต่อยมวยดู จึงได้ฝึกซ้อมมาตั้งแต่ตอนนั้น และเริ่มขึ้นชกตั้งแต่ 8 ขวบเลยก็ว่าได้

ชมคลิป น้องโรส บ้านเจริญสุข VS บังรอน สายันต์ยิมส์

...

จากนั้น เมื่อขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 น้องโรสมีโอกาสได้เข้ามาซ้อมมวยอยู่ที่ค่ายมวยบ้านเจริญสุข ที่ จ.ฉะเชิงเทรา ก่อนเริ่มเดินสายขึ้นชกในเมืองหลวง

บางคนอาจจะยังไม่รู้จักเธอ แต่ที่จะบอกคือเธอเริ่มโด่งดังจากไฟต์ที่ขึ้นชกกับ 'สุริยันต์เล็ก อบต.กำพี้' นักมวยหมัดหนัก ในศึกยอดมวยไทยรัฐ ปี 58 ถึงแม้ไฟต์นั้น สไตล์มวยเข่าอย่างน้องโรสจะสู้มวยหมัดหนักสุดทรหดไม่ได้ ด้วยการแพ้คะแนนไปแบบเฉียดฉิว แต่ก็ถือเป็นไฟต์มันหยดติ๋งที่สร้างชื่อเสียงให้กับนักมวยจากแดนย่าโมได้เป็นอย่างดี

“เคยมีคู่ชกใช้คำพูดสบประมาท ประมาณว่า ท่าทางแบบนี้คงต่อยมวยไม่เป็นหรอก เพราะว่าเวลาเราอยู่ข้างล่างเวทีแต่งตัวเป็นผู้หญิง ซึ่งเราก็ไม่ได้เก็บมาคิดมาก หรือโกรธเขานะ แต่เมื่ออยู่บนเวทีเดี๋ยวรู้กัน! (หัวเราะ)” นักชกวัยละอ่อน เล่าติดตลก

ผลสุดท้ายวันนั้นน้องโรสเอาชนะคู่ปรับไปได้ เรียกได้ว่า โดนทั้งหมัด เข่า ศอก จนไปไม่เป็นถึงขนาดที่ว่า ลงจากเวทีมาพูดกับน้องโรส ว่า “กะเทยอะไรเตะแรงแท้” ซึ่งน้องโรสก็ได้พิสูจน์ให้คู่ชกเห็นว่า แม้เธอจะเป็นแบบนี้ แต่เรี่ยวแรง ทักษะทางมวยไทยก็ไม่แพ้ผู้ชายเช่นกัน

แต่แล้วหลังจากนั้นไม่นาน น้องโรสถูกอาการบาดเจ็บเล่นงานตอนที่กำลังรุ่งโรจน์ โดยเธอขาแพลง นิ้วซ้นเดินแทบไม่ได้ ทำให้การแข่งขันชิงแชมป์ที่จะถึงเธอต้องหนีกลับบ้าน จนทางค่ายต้องส่งคนอื่นไปชิงแชมป์แทน

“วันนั้นหนูไม่ไหวแล้ว ร่างกายมันแย่มาก เดินไม่ได้เลยต้องหนีกลับบ้าน และหลังจากนั้น จึงค่อยเข้าไปขอขมาทางหัวหน้าค่ายและขอพักชั่วคราว จนกระทั่ง เมื่อเดือนธันวาคม ปี 59 ก็ได้กลับมาเริ่มชกจริงจังอีกครั้ง เนื่องจากตอนนั้นทำงานโรงงานและชกเล่นๆ หัวหน้าค่ายเลยให้กลับมาซ้อมจริงจังและตระเวนขึ้นชกอีกครั้ง” นักมวยหน้าสวย เล่าถึงเหตุพลิกผันจนหยุดชกชั่วคราว

และแน่นอนว่า เธอกลับมาครั้งนี้ลีลาการชกไม่ธรรมดา มีหลากหลายค่ายต่างชักชวนให้นักมวยนะยะคนนี้ไปอยู่ด้วย แต่น้องโรสกระซิบบอกกับผู้สื่อข่าวว่า เธออยู่ที่นี่มาตั้งแต่ยังไม่ดัง เธอรักที่นี่ และจะอยู่ที่นี่ต่อไป

ตลอดการขึ้นชกของน้องโรส จะมีแฟนคลับวัยรุ่นคอยส่งกำลังใจเชียร์เธอตลอด ไม่ว่าเธอจะปล่อยหมัดก็เฮ จะฟาดแข้งก็เฮ หรือจะแทงเข่าก็เฮ ส่งเสียงลุ้นอยู่ตลอด และที่กรี๊ดกร๊าดลั่นสนามเมื่อหมดยกชูมือผู้ชนะ ฝ่ายคู่ชกมีแอบหอมแก้มสาวนะยะคนนี้ด้วย แน่นอนว่ายอดนักมวยสาวแข้งหนักไม่ยอมแน่ๆ เธอรีบขโมยจูบทีเผลอเอาคืนจนแฟนคลับเฮกันลั่น

...

“เราไม่ค่อยห่วงสวยหรอกค่ะ หมัดเป็นหมัด ศอกเป็นศอก ไม่ค่อยได้กังวลหรือกลัวเท่าไร โดนก็โดน และก็เคยมีแผลที่หน้า 2-3 ครั้ง ส่วนรอยแตกใต้ตายังไม่หายเลย นักมวยก็ต้องมีเจ็บบ้างเป็นธรรมดาค่ะ” น้องโรสปฏิเสธเรื่องห่วงสวย

อย่างไรก็ตาม สำหรับเป้าหมายในอนาคตของนักชกเจ้าของฉายา 'เข่าดอกไม้เหล็ก' เธอบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า “จริงๆ ตอนนี้หนูยังไม่ได้ตั้งเป้าอะไรค่ะ เดินหน้าชกต่อไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่าทางผู้ใหญ่จะให้ไปขึ้นชกที่ไหนต่อ ส่วนอนาคตนั้น คาดว่าจะชกอีกไม่เกิน 3 ปี เพราะว่าจะไปทำในสิ่งที่อยากทำ นั่นคือ แปลงเพศ ส่วนแปลงเสร็จแล้วจะกลับมาชกต่อไหมต้องรอดูอีกทีค่ะ (หัวเราะอย่างอารมณ์ดี)”

...

และนี่ก็ถือเป็นอีกสีสันหนึ่งของวงการมวยไทยที่มาสร้างความคึกคักให้วงการมวยอีกครั้ง

แต่หากลองย้อนไปสักเกือบ 20 ปี หลายคนคงเคยได้ยินชื่อเสียงของ 'น้องตุ้ม' ปริญญา เจริญผล นักชกสาวประเภทสอง แต่งหน้าทาปากก่อนขึ้นชก จนมีคนเอาเรื่องราวของเธอสร้างเป็นหนังเรื่องบิวตี้ฟูล บ็อกเซอร์ ด้วย และเธอยังเคยแสดงออกต่อหน้าสื่อด้วยว่า ต้องการชกมวยเพื่อหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดแปลงเพศ

วันนี้ ผู้สื่อข่าวยังได้คุยกับน้องตุ้ม ปริญญา โดยน้องตุ้ม กล่าวว่า “ตุ้มกับน้องโรสเป็นมวยคนละรุ่น ความว่องไวคนตัวเล็กมีความว่องไวกว่า และเป็นมวยคนละสไตล์ โดยตุ้มเป็นมวยฝีมือ เตะหนัก จังหวะออกแข้งเรื่อยๆ และท่าแม่ไม้มวยไทยจะเยอะ ไม่ว่าจะเป็น ฤาษีบดยา ศอกกลับเข่าลอย เตะก้านคอ ตุ้มจะเป็นมวยแนวลีลาสวยงาม มวยฝีมือ จะแจ้งสวยงาม ส่วนน้องโรส เป็นสไตล์บู๊ดุดัน เข่าหนัก ถ้าคนชอบบู๊แบบโหดๆ ก็จะชอบแนวน้องโรส”

น้องตุ้ม ยังยืนยันด้วยว่า คนที่เป็นสาวประเภทสองขึ้นชกมวยกับผู้ชายแมนๆ ได้อย่างแน่นอน ขึ้นอยู่กับการฟิตซ้อมและประสบการณ์ แต่ยอมรับว่า เธอและน้องโรสไม่ได้ถึงขั้นฝีมือระดับแนวหน้าของมวยไทย แต่ถือว่าใช้ได้ พอสู้ได้ดีกว่ามวยผู้ชายหลายๆ คนด้วยซ้ำ

...

“จริงๆ ทุกวงการควรจะมีสีสัน และมีน้อยคนที่เป็นสาวประเภทสองและรักในการชกมวย ดังนั้น การปั้นน้องโรสขึ้นมาในวงการมวยไทยก็ถือเป็นสีสันอย่างหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งคนนอกวงการที่ไม่ได้สนใจมวย เมื่อเห็นการชกของน้องโรสก็อาจจะเพิ่มความสนใจให้เข้ามาดูมวยไทยมากขึ้นก็ได้” ผู้คลุกคลีกับวงการมวยกว่า 20 ปี วิเคราะห์

ส่วนประเด็นที่ว่า การที่เป็นสาวประเภทสองมาชกมวยไทย จะยืนหยัดเดินในเส้นทางนี้ได้นานสักแค่ไหน นักมวยนะยะชื่อดัง อธิบายว่า “ตอนนั้นตุ้มก็ไม่ได้ยืนอยู่บนผืนผ้าใบได้ยาวมากนะ มวยไทยไม่ได้ฝึกปีสองปีเก่งเลย มันต้องใช้เวลา อย่างสุภาษิตว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก ยุคใครยุคมัน แต่ว่า เขาจะยืนหยัดบนสายมวยได้อีกนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาและกำลังใจของเขาเองว่ามีเหตุจูงใจใดที่ทำให้ยืนหยัดได้ เพราะสาวสองเรารักสวยรักงาม ชกมวยก็อยากจะชกเหมือนกัน ยุคสมัยนี้เปิดกว้าง ไม่เหมือนสมัยก่อนต้องปกปิดไว้ ก็ขึ้นอยู่กับเขาแล้วละ”

นอกจากนี้ พี่ใหญ่ของวงการมวยอย่าง เขาทราย แกแล็คซี่ เจ้าของฉายา 'ซ้ายทะลวงไส้' ยังได้กล่าวชื่นชมน้องโรส คนนี้ด้วยเช่นกัน “น้องโรสทรงมวยเขาก็ดีนะ เขาไม่ใช่สาวประเภทสองโดยตรงแบบที่แปลงเพศมาเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่เขารักสวยรักงามเหมือนน้องตุ้มเมื่อก่อนเลย ก็ทำให้วงการมวยเรามีสีสันขึ้นมาบ้าง ส่วนจะอยู่ในวงการได้นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองนั่นแหละ”

เขาทราย ยังได้วิพากษ์วงการมวยไทยด้วยว่า ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีนักมวยซุปเปอร์สตาร์เหมือนยุคก่อนๆ ซึ่งหากจะหาทางแก้ไขคงจะไปแก้อะไรไม่ได้ ต้องปล่อยไหลไปตามยุคสมัยเอง ซึ่งจะเห็นได้ว่าช่วงหลังการที่นักมวยชาวไทยไปชกกับต่างชาติทำให้ดูน่าสนใจมากขึ้น ดังนั้น หากจะผลักดันให้นักมวยไทยชกกับต่างชาติ และไปขึ้นชกในต่างประเทศยิ่งทำให้มีรายได้มากขึ้นด้วย

“ยิ่งถ้านักมวยไทยได้ไปชกในต่างประเทศ จะได้ค่าชกอย่างน้อยๆ 5 แสนบาท ดูอย่างบัวขาวขึ้นชกทีค่าตัวเป็นล้าน เมืองไทยไม่มีใครกล้าจ้างได้ขนาดนี้ ขณะที่ ชกกับคนไทยด้วยกันเอง ต่อให้ดังแค่ไหนเต็มที่ก็ได้ไม่เกิน 2.5 แสนบาท เท่านั้น ดังนั้น น่าจะผลักดันให้นักมวยไทยได้มีโอกาสชกกับนักมวยต่างชาติ รวมทั้งเดินทางไปชกต่างประเทศด้วย” อดีตนักมวยแชมเปี้ยนโลกชาวไทย ให้ความเห็น

เขาทราย ยังบอกอีกว่า การค้นหาซุปเปอร์สตาร์ยอดมวยไทยยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้น คือ โปรโมเตอร์ไม่ยอมให้นักมวยในค่ายออกไปชกแข่งกับใครเท่านั้นเอง ซึ่งแต่ละโปรโมเตอร์มีนักมวยฝีมือดี ชื่อเสียงโด่งดังกันอยู่แล้ว และจะมีนักมวยพวกที่เรียกกันว่า นักมวยเงินแสน มักจะเลือกให้ชกกับคนไทยด้วยกันเอง ฉะนั้น ทำให้นักมวยกลุ่มนี้ไม่มีโอกาสที่จะไปชกกับต่างชาติ หรือไปชกในต่างประเทศ ซึ่งหากโปรโมเตอร์เองไม่กั๊กไว้ ก็จะทำให้นักมวยเหล่านี้มีอนาคตที่ดีขึ้นหรือโด่งดังขึ้นมาได้.

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง