การสิ้นสุดของสิ่งหนึ่ง คือ การเริ่มต้นของสิ่งใหม่เสมอ 

สรกล อดุลยานนท์ เขียนไว้ในหนังสือขายดีของเขาภายใต้นามปากกา “หนุ่ม เมืองจันท์” ที่เราต่างคุ้นเคยกันดี

ถ้าจะเอามาเปรียบกับการสิ้นสุดของ พรรคก้าวไกล มันก็คือ การเริ่มต้นของพรรคใหม่ที่ชื่อ พรรคประชาชน 

หลังจากที่พรรคก้าวไกลถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรค ด้วยข้อกล่าวหาล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2567 

พลพรรคก้าวไกล ก็ตอบโต้วิกฤติยุบพรรคของพวกเขาด้วยการสร้างโอกาสใหม่ให้ตัวเองสามารถลุกขึ้นยืนได้ในทันที และพลิกเกมที่ตกเป็นรองให้กลับมายืนหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว 

ภายในเวลาเพียง 2 วัน พวกเขากลับมาจัดตั้งพรรคใหม่ในชื่อ พรรคประชาชน เลือก หัวหน้าพรรคคนใหม่ และกรรมการบริหารพรรค สำเร็จเสร็จสิ้นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมกับดึง สส.143 คน และสมาชิกมากกว่าแสนคน กลับมาได้ครบถ้วน...เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น 

ขณะเดียวกันยังมีเงินบริจาคจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาอย่างล้นทะลักเสมือนเป็น การซับน้ำตาผู้ประสบภัยจากการเมือง โดยไม่ต้องใช้เวลาเนิ่นนานถึง 30 วันตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกำหนด

นี่คือการเมืองของคนรุ่นใหม่ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญที่คนใน Gen นี้ ประกาศว่า เลือกตั้งครั้งหน้า พวกเขาจะนำ สส.เข้าสภามาเป็นเสียงข้างมากให้ได้!

ถามว่า น่ากลัวไหม ตอบว่า ไม่น่ากลัว ถ้าพวกเขาต้องใช้เวลา 4-5 ปี เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ค่อยๆกลับเข้าไปในสภา ค่อยๆ ไล่น้ำเสียที่ทำให้ปลาตายหมดทั้งบ่อออกไปด้วยการผันน้ำดีเข้ามา

...

แต่จะน่ากลัวแน่ หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ หรือภายในปลายปีนี้!

อุบัติเหตุจะเกิดขึ้นฉับพลันทันทีได้ก็เมื่อ ความร้าวฉานระหว่าง เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กับ ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเงา ในฐานะเจ้าของ และผู้นำจิตวิญญาณพรรคเพื่อไทย กลายเป็นรอยร้าวลึกที่ยากจะประสานให้เป็นหนึ่งเดียวได้

หลังจากที่ต่างฝ่าย ต่างก็อดทนซึ่งกันและกันมาเป็นระยะเวลาพอสมควร จากเหตุผลที่ฝ่ายหนึ่งรับนโยบายไปแล้ว ทำไม่ได้ หรือล่าช้าเกินการจะช่วยเหลือผู้คนตามที่ได้หาเสียงไว้ 

กับอีกฝ่ายที่พยายามแสดงวิสัยทัศน์ และแนวนโยบายบริหารเศรษฐกิจประเทศที่แหลมคมกว่าให้สังคมได้เห็น แม้จะมีสื่อรายงานการทำงานอย่างหนักของ นายกฯเศรษฐา ตลอดช่วงเวลาปีเศษของการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ตาม 

แต่ดูเหมือน ผลงานอะไรก็ไม่เข้าตากรรมการเสียเลย ถ้าการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหม่ใน “เศรษฐา 3” มีคนที่ถูกปรับออกไปจาก “เศรษฐา 2” กลับเข้ามาอีก ก็เชื่อเถอะว่า เกมการเมืองไทยกำลังเปลี่ยนไปแน่นอน 

ในขณะที่ นายกฯเศรษฐา มีอำนาจเพียงหนึ่งเดียวที่จะใช้เพื่อสงบ สยบความเปลี่ยนใดๆ ได้ นั่นคือ ยุบสภา ลาออก

ถึงตอนนั้น อะไรจะเกิด ก็ต้องปล่อยให้เกิด...อย่าลืมซิว่า การสิ้นสุดของสิ่งหนึ่ง คือ การเริ่มต้นของสิ่งใหม่เสมอ