ผลประกอบการไตรมาสสามสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567 Apple ทำรายได้รวม 8.57 หมื่นล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 4.8% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิอยู่ที่ 2.14 หมื่นล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 7.8% กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.40 ดอลลาร์ สำหรับยอดขายหลักไตรมาสนี้นำโดย iPhone ที่กินสัดส่วนถึง 46% ของยอดขายอุปกรณ์ทั้งหมดในไตรมาสนี้ ทำเงินไปได้ 3.93 หมื่นล้านเหรียญ ขณะที่ iPad 7.1 พันล้านเหรียญ ที่มียอดเติบโตแข็งแกร่งหลังเปิดตัว iPad รุ่นใหม่ โดยพบว่าผู้ซื้อ iPad ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นผู้ซื้อครั้งแรกซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดแท็บเล็ตยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว ต่อเนื่องด้วย Mac 7 พันล้านเหรียญ และอุปกรณ์อื่นๆ ตามลำดับ
นอกจากนี้กลุ่ม Service ซอฟต์แวร์และบริการอื่นๆ ได้แก่ รายได้จาก Google, การรับประกันฮาร์ดแวร์ iCloud, Apple TV+ และ Apple Music กลายเป็นหมวดที่มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญที่สุดสำหรับ Apple ช่วยขับเคลื่อนไตรมาสนี้ถึง 2.4 หมื่นล้านเหรียญ สอดคล้องกับการคาดการณ์ของ Apple และประมาณการของ LSEG
สำหรับประเด็นเรื่องยอดขายที่หล่นฮวบใน “จีน” ภูมิภาคที่ใหญ่เป็นอันดับสามของ Apple (รองจากอเมริกาและยุโรป) จนส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิของบริษัทยังคงน่าเป็นห่วง สำหรับครึ่งปีแรก จีนรวมถึงไต้หวันและฮ่องกง ยังเป็นอุปสรรค ยอดขายรวมในภูมิภาคดังกล่าวปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง จากแรงกดดันของคู่แข่งในท้องถิ่น เช่น Huawei ที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์แข่งขันกัน โดยไตรมาสนี้ Apple ทำไปได้เพียง 1.47 หมื่นล้านเหรียญ ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว 6.5% ที่ 1.57 หมื่นล้านเหรียญ
ด้าน Canalys ระบุ ตัวเลขล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วซึ่งแสดงให้เห็นว่ายอดขาย iPhone ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยลดลง 6.7% จาก 10.4 ล้านเครื่อง เหลือ 9.7 ล้านเครื่องในไตรมาสนี้ โดย Huawei แซงหน้ายอดขายรวมของ Apple ในจีนที่ 10.6 ล้านเครื่องในไตรมาสนี้
บทความที่เกี่ยวข้อง
"Apple ยังไม่สามารถพูดถึงผลกระทบเชิงบวกต่อยอดขายจากบริการ Apple Intelligence จนกว่าจะเปิดให้บริการกับลูกค้าในช่วงเดือนตุลาคมนี้"
Tim Cook ซีอีโอ Apple กล่าวว่า บริษัทได้เพิ่มการใช้จ่ายเพื่อเตรียมให้บริการพร้อมทั้งการจัดสรรบุคลากรเพื่อรองรับการทำงานด้าน AI ที่จะเพิ่มเข้ามา รวมถึงการเตรียมพร้อม Data Center โดยมีแนวทางแบบ "ไฮบริด" ซึ่งผลักค่าใช้จ่ายด้านทุนบางส่วนไปที่พันธมิตรผู้ให้บริการ และเปลี่ยนค่าใช้จ่ายเหล่านี้ให้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของ Apple
กล่าวคือเดิมที Apple กำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และ Apple ก็มีข้อได้เปรียบคือการออกแบบชิปของตัวเอง ทั้งสำหรับโทรศัพท์และเซิร์ฟเวอร์ ดังนั้นบริษัทจึงไม่จำเป็นต้องใช้เงินหลายพันล้านเหรียญกับโปรเซสเซอร์ของบุคคลที่สาม
นักวิเคราะห์คาดว่า Apple Intelligence ฟีเจอร์ AI ของ Apple ที่มาถึงช้ากว่าผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งอย่าง Samsung Electronics อาจผลักดันให้ผู้บริโภคอัปเกรดอุปกรณ์ของตนตามคาดการณ์ นอกจากนี้ iPhone 16 ซึ่งน่าจะเปิดตัวในเดือนกันยายนจะมีรอบการอัปเกรดที่แข็งแกร่งจะสามารถกระตุ้นความต้องการผู้ใช้ให้เพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney