ข้อมูลจากบริษัทให้คำปรึกษา Alixpartners เผย “จะมีแบรนด์ EV ของจีนเพียง 19 แบรนด์จาก 137 แบรนด์ ที่จะสามารถทำกำไรได้ในช่วงสิ้นทศวรรษนี้” และแบรนด์ที่ทำกำไรไม่ได้ก็อาจจะมีบางส่วนต้องออกจากตลาดไป หรืออาจจะไปสู้กันต่อในตลาดที่เล็กลง
“สงครามราคา EV” ในประเทศดำเนินมาต่อเนื่องเกือบ 2 ปีแล้ว ส่งผลให้เกิดแรงกดดันกับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศบางราย อีกทั้งยังมีการแข่งขันของ 2 เจ้าใหญ่ ทั้ง BYD และ Tesla ที่กำลังแย่งส่วนแบ่งในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าโลก
สตีเฟน ดายเออร์ กรรมการผู้จัดการ Alixpartners ในเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า “ตราบใดที่ผู้เล่นรายใหญ่ อย่าง BYD ยังคงมีอัตราส่วนกำไรขั้นต้น มีความเป็นไปได้สูงว่าสงครามราคาจะดำเนินต่อไปอีก”
ราคาขายยานยนต์ไฟฟ้าในจีน ลดลงมา 13.4% ในปีที่ผ่านมา ในขณะที่มาร์จิ้นเฉลี่ยของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 6.3% ในปี 2022 มาเป็น 7.8% ในปี 2023 โดยโรงงานผู้ผลิต EV ต้องตัดต้นทุนการผลิตบางส่วนออกไป พร้อมกับเร่งการผลิตโมเดลใหม่ๆ ออกมาในตลาดให้เร็วขึ้น
Alixpartners ยังเผยอีกว่า ภายในสิ้นปี 2030 ผู้ผลิตยานยนต์ของจีนจะถือสัดส่วนในตลาดยานยนต์โลกประมาณ 33% และจะถือยอดขายยานยนต์พลังงานทางเลือกใหม่อยู่ที่ 45% ทั่วโลก แต่ในตลาดยุโรป มีคาดการณ์ว่า ส่วนแบ่งในตลาดของแบรนด์ EV จีนจะลดลงเหลือ 12% จาก 15% มีผลมาจากการขึ้นภาษีนำเข้ายานยนต์จากจีน
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผยถึงข้อได้เปรียบของจีน ที่ทำให้ปัจจุบันสามารถขึ้นมาเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดยานยนต์ไฟฟ้า ไว้ว่า
อ้างอิง: Bloomberg
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney