“BYD ไม่ใช่ TikTok หรือ Huawei” สเตลลาร์ หลี่ (Stella Li) รองประธานบริหาร BYD และประธานของ BYD สหรัฐอเมริกา กล่าวระหว่างงานประชุม Milken Institute Global Conference ปี 2024 ที่จัดขึ้นในลอสแอนเจลิส
สำนักข่าว Nikkei Asia ระบุว่า เธอไม่เห็นด้วยต่อท่าทีของหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ ที่มีต่อธุรกิจสัญชาติจีนที่เข้ามาดำเนินการสหรัฐฯ หลังรัฐบาลจ่อตรวจสอบ BYD หลังสั่งแบน TikTok และ Huawei
โดยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ฝ่ายนิติบัญญัติเรียกร้องให้ประธานาธิบดีไบเดนสั่งห้ามนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีนไปยังสหรัฐอเมริกา อีกทั้งหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องได้เพิ่มการตรวจสอบบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนที่เกี่ยวโยงกับ "ความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติ" และ “ภัยคุกคามต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของอเมริกา”
เธอกล่าวว่า ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาไม่ใช่ตลาดที่เปิดกว้างอีกต่อไป และประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์กำลังส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีน รวมถึงตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโดยรวม นอกจากนี้เธอยังกล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ยุติธรรมต่อธุรกิจจีน หากจะเชื่อมโยงบริษัทสัญชาติจีนทุกบริษัทว่ามีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับรัฐบาลจีนโดยอัตโนมัติ
เธอตั้งคำถามว่า หากรัฐบาลเปิดกว้างต่อผู้ขายในจีนได้มากขึ้น ย่อมเป็นผลดีต่อภาคการผลิตของสหรัฐฯ มากกว่าการปิดกั้นหรือไม่? เพราะ สหรัฐฯ เองยังต้องพึ่งพาการนำเข้าแบตเตอรี่จากจีน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่งในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่ง BYD เองก็เป็นผู้จัดหาแบตเตอรี่มาอย่างยาวนานเช่นเดียวกัน
“BYD คือ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนที่อยู่ในสถานะของบริษัทระดับโลก และอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมีการดำเนินงานที่แตกต่างจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เป็นภาคส่วนหลักที่ถูกจับตามองเข้มงวดโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งในที่นี้ ได้แก่ TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอแบบสั้นภายใต้ ByteDance กลุ่มเทคโนโลยีของจีน และ Huawei ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมของจีน”
ทั้งนี้เธอกล่าวว่า ปัจจุบัน BYD ต้องรับมือกับความไม่แน่นอนของนโยบาย และความลังเลของผู้บริโภคจำนวนมากต่อรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคนี้ นำไปสู่แผนที่จะต้องชะลอการทำตลาดในสหรัฐฯ เพราะประเด็นดังกล่าวยังเกี่ยวโยงกับการเลือกตั้งในปีนี้อีกด้วย อย่างล่าสุดโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันยังให้คำมั่นที่จะขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากจีน 100% หากได้รับเลือกอีกด้วย
อย่างไรก็ตามเธอกล่าวว่า บริษัทคาดหวังว่าหลังจากผ่านการเลือกตั้งในปีนี้ สถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติ และสุดท้ายผู้บริโภคจะกลับมามีอิสระในการเลือกใช้งานหลังจากนี้.
อ้างอิง Nikkei Asia
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney