Alibaba Group ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีจีน เดินหน้าพึ่งพาการเติบโตของธุรกิจในต่างประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ซบเซาของการเติบโตการบริโภคภายในประเทศ
โดยในรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2023 หน่วยธุรกิจอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศของ Alibaba ที่ประกอบไปด้วยแพลตฟอร์มอย่าง AliExpress, Lazada, Daraz และ Trendol ทำรายได้ไปที่ 2.8 หมื่นล้านหยวน (หรือประมาณ 1.4 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 44% จากปีก่อนหน้า
พร้อมระบุว่า ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในธุรกิจอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศนั้น เป็นผลมาจากการเติบโตที่ดีของแพลตฟอร์มค้าปลีก โดยเฉพาะ AliExpress Choice ซึ่งมียอดขายประมาณครึ่งหนึ่งของคำสั่งซื้อทั้งหมดของ AliExpress ในเดือนมกราคม 2024
ในขณะเดียวกันรายได้จากธุรกิจอีคอมเมิร์ซหลักอย่าง Taobao และ Tmall Group ซึ่งอยู่ที่ 1.2 แสนล้านหยวน (หรือประมาณ 6.4 แสนล้านบาท) และมีอัตราการเติบโตเพียง 2% เมื่อเทียบรายปี
อย่างไรก็ตาม แม้กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศของ Alibaba จะมียอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ผลขาดทุนนั้นเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบรายปี โดยส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มการลงทุนในธุรกิจต่างๆ อย่างเช่น AliExpress Choice และ Trendyol
ซึ่งสำนักข่าว CNBC รายงานว่า ผลประกอบการรายไตรมาสของ Alibaba เป็นไปตามการปรับโครงสร้างในบริษัทแม่ รวมถึงบริษัทย่อย อย่างเช่น Daraz แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในตลาดเอเชียใต้ก็ได้มีการปรับเปลี่ยน CEO โดยตั้ง James Dong ซีอีโอของ Lazada Group ขึ้นรักษาการแทน
นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา Alibaba ยังได้ประกาศแยกหน่วยธุรกิจออกเป็น 6 หน่วยหลักเพื่อความคล่องตัว ตามมาด้วยการแต่งตั้ง Eddie Wu เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่แทน Daniel Zhang ที่ย้ายไปดูธุรกิจคลาวด์ ก่อนที่ Zhang จะประกาศลาออกในช่วงปลายปี และในเดือนธันวาคมก็ปรับโครงสร้างอีกครั้งด้วยการให้ Wu รับตำแหน่งซีอีโอ Taobao และ Tmall
พร้อมกันนี้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของ Alibaba ยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Pinduoduo พร้อมกับสถานการณ์การบริโภคในจีนที่ยังคงซบเซา ขณะที่ Lazada ซึ่งเป็นธุรกิจสำคัญในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ต้องต่อสู้ในสมรภูมิการแข่งขันกับ Shopee และ TikTok Shop ที่มาแรงในภูมิภาคนี้ด้วยเช่นกัน
อ้างอิง