จากจุดเริ่มต้นในหอพักมหาวิทยาลัยและความหลงใหลในการเขียนโค้ดของชายคนหนึ่ง ที่อยากสร้างพื้นที่ให้คนมารวมตัวกันบนโลกออนไลน์ กลายเป็นอาณาจักรโซเชียลมีเดียที่ผูกติดอยู่กับชีวิตผู้คนนับล้านทั่วโลก หนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์
โดยล่าสุด Mark Zuckerberg ซีอีโอ Meta ได้เผชิญกับคำกล่าวหาอย่างรุนแรงว่า “มือเปื้อนเลือด” เพราะเขาได้สร้าง “ผลิตภัณฑ์ที่สามารถฆ่าคนได้” ระหว่างการพิจารณาคดีต่อหน้าวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ในประเด็นใหญ่อย่างความล้มเหลวของโซเชียลมีเดียในการปกป้องเด็กและเยาวชน ในวาระครบรอบ 20 ปี Thairath Money พาย้อนเหตุการณ์สำคัญๆ ในแต่ละก้าวของ Facebook แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยยอดผู้ใช้ 3 พันล้านคนต่อเดือน หรือมากกว่าหนึ่งในสามของประชากรโลก ก่อนจะมีวันนี้ ผ่านดราม่าอะไรมาบ้าง?
ในปี 2003 Mark Zuckerberg วัย 19 ปี สร้างเสียงฮือฮาครั้งแรกกับการพัฒนา “Facemash” เว็บไซต์จัดอันดับความฮอตของนักศึกษาหญิงที่เปิดให้วัยรุ่นฮาร์วาร์ดเข้ามามีส่วนร่วมในการโหวต อย่างไรก็ตาม โปรเจกต์ต้องยุติลงเพราะหลายคนไม่เห็นด้วย เพราะบรรดาภาพของเหล่านักศึกษาที่ใช้ในโปรเจกต์นี้ไม่ได้ถูกขอนำไปใช้อย่างเป็นทางการ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับใครหลายคน
ต่อมาไม่นานนัก Mark และเพื่อนๆ ของเขา Eduardo Saverin, Andrew McCollum, Dustin Moskovitz และ Chris Hughes เปิดตัวเว็บไซต์โฉมใหม่ที่ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ให้เด็กฮาร์วาร์ดสามารถเชื่อมต่อกับเพื่อนๆ โดยใช้ที่อยู่อีเมล
โดยผู้ใช้สามารถอัปโหลดรูปภาพ แบ่งปันความสนใจ สร้างโปรไฟล์และเชื่อมต่อกับคนอื่นๆ ได้ ในชื่อ “Thefacebook” หรือ thefacebook.com ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ปี 2004 โดยคำว่า ‘facebook’ นั้นตั้งชื่อตามไดเรกทอรีนักศึกษาที่เผยแพร่ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ นั่นเอง
ภายใน 24 ชั่วโมงแรกมีผู้ลงทะเบียนอย่างล้นหลาม โดยภายในเดือนแรกมีนิสิตปริญญาตรีลงทะเบียนใช้ไปมากกว่าครึ่งหนึ่งของมหาวิทยาลัย ก่อนจะขยายเครือข่ายใช้งานสู่มหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั้งพื้นที่บอสตันและเครือไอวีลีกทั้งหมด จนถึงช่วงสิ้นปีแรกก็แพร่หลายไปสู่มหาวิทยาลัยเกือบทั้งหมดในสหรัฐฯ โดยในปีแรกก็สามารถคว้ายอดสมาชิกได้ถึง 100 ล้านราย
ปี 2005 Mark ตัดสินใจเอา 'The' ออกจากชื่อ หลังจากเปลี่ยนมาใช้โดเมน ‘facebook.com’ และค่อยๆ เปิดรับสมาชิกให้กับพนักงานองค์กรเข้าร่วมเครือข่าย Facebook อย่าง Apple และ Microsoft ก่อนที่จะขยายให้นักเรียนไฮสคูลใช้งาน
เครือข่าย Facebook ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมวิทยาลัยมากกว่า 2,000 แห่ง และโรงเรียนมัธยมปลายกว่า 25,000 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และ ไอร์แลนด์ จนกระทั่งเปิดให้คนทั่วไปใช้งานได้อย่างเป็นทางการในปีต่อมา
ในปี 2009 Facebook กลายเป็นเครือข่ายโซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดในโลกแซงหน้าแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่มีมาก่อนหน้า ภายในเวลาไม่ถึง 5 ปี มียอดคนลงทะเบียนเข้าใช้ใหม่ 350 ล้านราย ผู้ใช้ต่อเดือนอยู่ที่ 130 ล้านราย โดยมีการประเมินมูลค่าบริษัทอีกครั้งที่สูงถึง 41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นเป็น Tech Company ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในสหรัฐอเมริกาตามหลัง Google และ Amazon การเติบโตที่น่าจับจ้องของ Facebook ทำให้ Mark Zuckerberg ได้รับเลือกให้เป็นบุคคลแห่งปีของ Time ปี 2010 เลยทีเดียว
ในปี 2012 ถือเป็นปีที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Facebook กล่าวคือ เป็นปีที่ Facebook มีผู้ใช้ถึงแตะ 1 พันล้านคน และเป็นอีกก้าวใหญ่ในการก้าวสู่การเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดย Facebook เสนอขายหุ้นต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกในราคาที่ 38 ดอลลาร์ต่อหุ้น ด้วยมูลค่าธุรกิจขณะนั้นที่ 1.04 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำให้บริษัทสามารถระดมทุนได้ 161 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการ IPO ครั้งนี้
มากไปกว่านั้นยังเป็นปีที่ Facebook ทำการเข้าซื้อกิจการอื่นๆ นั่นก็คือ Instagram แอปโพสต์ภาพและวิดีโอที่โด่งดังไม่แพ้กันในมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับเป็นการเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่ในขณะนั้น ตามด้วยการเข้าซื้อกิจการเทคโนโลยีอย่างหลากหลาย อาทิ การเข้าซื้อกิจการ WhatsApp ด้วยมูลค่า 19 พันล้านดอลลาร์ และบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยี Virtual Reality อย่าง Oculus VR ในปี 2014 ซึ่งได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง จนเรียกได้ว่ากลายเป็นความหวังที่จะกลายเป็นท่าไม้ตายใหม่ของ Mark ในช่วงที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2021 Mark ประกาศเปลี่ยนชื่อแบรนด์ของบริษัท จาก Facebook Inc. เป็น Meta Platforms พร้อมกับทิศทางใหม่ในการหันไปโฟกัสกับเทคโนโลยี Metaverse กล่าวคือ การพัฒนาอุปกรณ์ VR และแพลตฟอร์มเดิมให้พร้อมเข้าสู่โลกเสมือนจริง ดังที่เราเห็นจากการเกิดขึ้นของโลกเสมือนจริง Horizon World การออกโปรดักต์ Oculus ที่พัฒนาสู่ Meta Quest Pro รุ่นปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานในครั้งนี้ ทำให้บริษัทเกิดภาวะชะงักงันสูญเสียเงินไปหลายหมื่นล้าน และยังลดความเชื่อมั่นของนักลงทุนขนาดหนัก ซึ่งนำไปสู่การปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ในช่วงสามปีที่ผ่านมา
Facebook กลายเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กที่น่าตื่นเต้น และถูกคาดหวังว่าความสามารถในการเชื่อมโยงผู้คนจะทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น เราสามารถพูดคุยแชร์ความชอบ สิ่งที่คิดเหมือนกัน แบ่งปันรูปภาพช่วงวันหยุด และติดตามข่าวสารล่าสุดของเพื่อนๆ ได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งผู้ปฏิวัติโซเชียลมีเดียที่ช่วยให้เรามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในระดับที่แตกต่างกัน ต่อเนื่องจนถึงท่าใหม่ๆ ของการค้าขาย การทำธุรกิจของแบรนด์ ซึ่งทำให้ Facebook ไม่เพียงแต่สร้างรายได้จากโฆษณานับพันล้านด้วยอัลกอริธึม แต่กลับพ่วงตามมาด้วยฉายาใหม่ๆ อย่าง 'พ่อค้าขายข้อมูล' ไปจนถึงการถูกตราหน้าว่า 'ทำให้สังคมแย่ลง'
หากสิบปีแรก Facebook พุ่งทะยานสู่สูงสุด ทว่าสิบปีหลัง Facebook ต้องเผชิญกับข้อครหาจากสาธารณชนที่อาจทำให้อาจตกไปอยู่สู่จุดต่ำสุดได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและความปลอดภัยของผู้ใช้ อัลกอริธึมหรือระบบประมวลผลที่รู้ทันผู้ใช้จนรู้สึกเหมือนกำลังถูกสอดแนม โดยเฉพาะข้อวิพากษ์วิจารณ์หนักสุดที่ว่า Facebook กลายเป็นแหล่งสรรค์สร้างข่าวปลอม และขึ้นชื่อว่ามีส่วนช่วยสร้างความเกลียดในสังคมในช่วงเลือกตั้ง ไปจนถึงสนับสนุนให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ท้าทาย Facebook หรือ Meta ในปัจจุบันมีผลดำเนินการที่ฟื้นตัวตัวอย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะด้วยการกลับมาของรายได้และผลกำไร จากแรงหนุนของมาตรการลดต้นทุนและปรับทิศทางมาลงทุนเทคโนโลยีในปัญญาประดิษฐ์
ล่าสุดปี 2024 "20 ปีผ่านไป ยังคงอยู่" Mark โพสต์ข้อความที่บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้งต่อการพัฒนานวัตกรรมของบริษัทที่ยังคงต้องการเป็นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี โดยยืนยันว่าสิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
อ้างอิง Wall Street Journal , BrandWatch , Time , BBC
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney