Cleantechica สรุปยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทในปีนี้ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงสิงหาคม ที่นำมาด้วย BYD ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในจำนวน 1,704,360 คัน ทิ้งห่างอันดับสองอย่าง Tesla ที่ขายได้ในจำนวน 1,177,908 คัน
โดยที่ผ่านมา BYD สามารถเหยียบคันเร่งเบียดแชมป์เดิมอย่าง Tesla ในฐานะผู้ขายรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในโลกได้สำเร็จในช่วงต้นปี 2023 ที่สามารถทำยอดขายไปได้กว่า 600,000 คัน ภายในไตรมาสเดียวด้วยอัตราเติบโตถึง 5 เท่าจากปีก่อน
ซึ่งหากพิจารณาจากรถที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่พลังงานไฟฟ้าล้วน (BEV) ในไตรมาสที่ผ่านมา Tesla ทำยอดขายไปได้ 435,059 คัน นำโดยรุ่นยอดนิยม Tesla Model Y และ Tesla Model 3 โดย BYD ทำยอดขายไปได้ 431,603 คัน ด้าน ซึ่งห่างกันเพียง 3,400 กว่าคันเท่านั้น นอกจากนี้ จากข้อมูลยังมีความน่าสนใจตรงที่ BYD มียอดขายรุ่นต่างๆ ที่ครองชาร์ตถึง 7 รุ่นเลยทีเดียว (BYD Song, Qin Plus, ATTO, Dolphin, Han, Tang และ Seagull)
จากที่หยิบยกมา 10 อันดับแรก จะเห็นว่า BYD และ Tesla เป็นสองเจ้าใหญ่ที่มียอดขายทะลุล้าน โดนลำดับรองลงมาอยู่ในหลักแสนเท่านั้น GAC Aion ที่ขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ก็เป็นอีกหนึ่งผู้ผลิตจากจีนที่ทำยอดขายไปได้ 308,760 คัน แซงหน้าลิสต์ผู้ผลิตรถยนต์ดั้งเดิมที่อยู่อันดับถัดมาอย่าง BMW, Mercedes และ Volkswagen นอกจากนี้ Toyota ที่แม้จะยังรักษาตำแหน่งเบอร์หนึ่งในรถยนต์สันดาปแต่ในรตลาดรถยนต์ไฟฟ้านั้น Toyota กลับตกไปอยู่อันดับที่ 16
ดูเหมือนว่า กลยุทธ์ตัดราคาและการวางจุดยืนด้านราคาที่ไม่สูงเกินไป เพื่อให้ทุกคนใช้งานรถ EV ได้นั้น จะทำให้ BYD ทะยานขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในเวลาไม่กี่ปี และจะใกล้ถึงฝั่งฝันและก้าวขึ้นรับมงในตลาดโลกในฐานะแบรนด์ EV จีนที่ปักธงตีตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำด้านการผลิต พร้อมด้วยเป้าหมายเพิ่มยอดขายรถให้ถึง 3.6 ล้านคันในปีนี้
สำหรับปีนี้ทุกสายจับตาไปที่รุ่น Dolphin และ Seagull ที่มีผู้ลงทะเบียนเกือบ 35,000 คันในเวลาเพียง 5 เดือนหลังเปิดตัวสู่ตลาดและล่าสุดกับการเดินเครื่องชนอย่างต่อเนื่อง และได้สร้างเสียงฮือฮาในประเทศไทยอย่างมากกับ BYD Seal ที่เปิดตัวด้วยคุณสมบัติที่พุ่งแรงและราคาที่ตัดหน้า Tesla อย่างหวุดหวิดในราคาเริ่มต้นที่ 1.29-1.59 ล้านบาท หลังประกาศ ราคา Tesla Model 3 Highland ที่เริ่มต้น 1.59 ล้านบาท และก่อนหน้านี้ที่ได้ปรับราคา Tesla Model Y ลดลงอีก 260,000 บาทเหลือ 1.69 ล้านบาทจากเดิมเริ่มต้น 1.95 ล้านบาท
อ้างอิง Wall Street Journal , Financial Times , Bloomberg