นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่า แม้ช่วงครึ่งปีหลังยังคงทรงตัวจากการปรับพฤติกรรมของผู้บริโภคหลังสถานการณ์โควิด ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัว แต่การแข่งขันของผู้เล่นรายต่างๆ ในตลาดยังเข้มข้น โดยตลาดฟู้ดเดลิเวอรีมีมูลค่าถึง 8.6 หมื่นล้านบาท
“ในฐานะผู้นำตลาด แกร็บไม่เคยหยุดพัฒนาแพลตฟอร์มและนำเสนอบริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกยุค โดยใช้จุดแข็งในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการใน 4 มิติ เพื่อให้สอดคล้องกับอินไซต์และพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุค 5.0” ประกอบด้วย
- S1: SAVE TIME (ประหยัดเวลา) ฟีเจอร์ที่จะช่วยให้ผู้ใช้บริการลดเวลาในการรอ เพื่อให้สามารถวางแผนชีวิตได้ง่ายขึ้น อาทิ
- รับเองที่ร้าน (Self-pick up) ฟีเจอร์ที่ผู้ใช้บริการสามารถสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มผ่านแอปพลิเคชัน Grab เพื่อไปรับเองที่หน้าร้านโดยไม่ต้องต่อคิว โดย 53% ของผู้ที่ใช้ฟีเจอร์นี้ ไม่ต้องการเสียเวลาต่อคิวเพื่อรอที่หน้าร้าน ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจากกลุ่มพนักงานออฟฟิศ โดย 5 สถานที่ที่มีผู้ใช้ฟีเจอร์นี้มากที่สุด คือ สามย่านมิตรทาวน์ อาคารเดอะปาร์ค ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และสีลมเอจ
- สั่งอาหารล่วงหน้า (Order for later) ฟีเจอร์ที่ให้ผู้ใช้บริการสั่งอาหารได้ล่วงหน้าได้มากสุดภายใน 7 วัน โดยสามารถระบุวันและเวลาที่ต้องการรับอาหารตามความสะดวก โดย 58% ของผู้ใช้ฟีเจอร์นี้คือคนที่ยุ่งกับการทำงานระหว่างวันจนไม่มีเวลาสั่งอาหาร ขณะที่ 20% ต้องการหลีกเลี่ยงการสั่งอาหารในช่วงเวลา peak hours เช่น มื้อเที่ยงและมื้อเย็น
S2: SAVE EFFORTS (สะดวกสบาย) ฟีเจอร์และบริการใหม่ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการสามารถลิ้มลองอาหารจานโปรดได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว อาทิ- สั่งอาหารแบบกลุ่ม (Group Order) ฟีเจอร์ที่ผู้ใช้บริการหลายคนสามารถสั่งอาหารจากร้านเดียวกันรวมกันได้ผ่านออเดอร์เดียว ซึ่งได้รับความนิยมจากกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่ชอบสั่งอาหารมารับประทานร่วมกัน
ทานที่ร้าน (Dine-In) บริการใหม่ล่าสุดจากแกร็บที่ริเริ่มมาเพื่อรองรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารนอกบ้าน ครอบคลุมตั้งแต่การค้นหาและเช็กรีวิวร้านอาหาร การนำเสนอดีลส่วนลดสูงสุดถึง 40% ในรูปแบบ E-Voucher จากร้านอาหารชั้นนำไปจนถึงการให้ส่วนลดบริการเรียกรถเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง S3: SAVE COST (ประหยัดเงิน) นอกจากการทำระบบแพ็กเกจสมาชิก “GrabUnlimited” เพื่อสร้าง Loyalty ผ่านการมอบส่วนลดสุดคุ้มให้สมาชิกแล้ว แกร็บยังพยายามพัฒนาบริการให้มีทางเลือกที่หลากหลายในด้านราคาค่าบริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มต่างๆ ซึ่งรวมถึงกลุ่มผู้ใช้บริการที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราคา (Price-conscious user) ด้วย อาทิ- ดีลลดฟ้าผ่า (Flash Sale) ฟีเจอร์ที่นำเสนอดีลส่วนลดขั้นกว่าสำหรับผู้ใช้บริการ โดยความพิเศษอยู่ที่การ Personalize ดีลจากร้านอาหารได้ตามความชื่นชอบและพฤติกรรมการใช้บริการ โดยมอบส่วนลดสูงสุดถึง 50%
ส่งแบบประหยัด (Saver Delivery) ฟีเจอร์ที่เหมาะกับผู้ใช้บริการสั่งอาหารที่ไม่เร่งด่วนและต้องการประหยัดค่าส่ง โดยจะช่วยลดค่าส่งสูงสุด 50% เมื่อเทียบกับการจัดส่งแบบมาตรฐานS4: SAVE THE ENVIRONMENT (รักษ์โลก) เพื่อตอบสนองเทรนด์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันมาให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม แกร็บจึงได้พัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการได้มีส่วนร่วมในการลดผลกระทบในเชิงสิ่งแวดล้อม อาทิ- งดรับช้อน-ส้อมพลาสติก (Plastic Cutlery Opt-Out) ฟีเจอร์ที่ช่วยสนับสนุนให้ผู้ใช้บริการลดปริมาณขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งผ่านการเลือกไม่รับช้อนส้อมพลาสติก ซึ่งในปีที่ผ่านมา สามารถลดปริมาณขยะพลาสติกไปแล้วกว่า 8,100 ตันจากการงดแจกช้อนส้อมพลาสติกรวมกว่า 898 ล้านชุดในทุกประเทศที่แกร็บให้บริการ
ชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) ฟีเจอร์ที่ชวนให้ผู้ใช้บริการร่วมบริจาคเงิน 1 บาท ในทุกออเดอร์เพื่อสมทบทุนในการปลูกต้นไม้ ซึ่งจะช่วยชดเชยปริมาณคาร์บอนจากการส่งอาหารด้วยรถจักรยานยนต์ โดยที่ผ่านมาแกร็บได้สนับสนุนการปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่า 2 แสนต้นทั่วภูมิภาคสำหรับ GrabFood ในปีนี้จะโฟกัสไปที่ 3 กลยุทธ์หลัก คือ การนำเสนอบริการที่มีคุณภาพและความหลากหลาย (Quality & Wide Selection) การสร้างฐานสมาชิกและความภักดีของผู้ใช้บริการ (Loyalty) และการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งอาหารและสินค้า (Efficiency) พร้อมทั้งนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพควบคู่ไปกับการนำเสนอบริการและฟีเจอร์ใหม่ๆ ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจในระยะยาวภายใต้แนวคิด Building Sustainable Growth through Innovation