Alphabet บริษัทแม่ของ Google นับเป็นยักษ์ใหญ่ในตลาดโฆษณาดิจิทัล หรือ Digital Advertising ซึ่งก่อนหน้านี้ในปี 2020 เคยทำรายได้จากโฆษณาในธุรกิจเสิร์ชเอนจินไปได้มากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 3.6 ล้านล้านบาท)
ขณะที่ผลงานล่าสุดไตรมาส 2 ของปีนี้ ที่มีรายได้จากโฆษณาเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก โดยทำเงินได้ถึง 1.46 ล้านล้านบาท สูงกว่ารายได้จาก YouTube และ Google Cloud
แต่ล่าสุดผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง Google กลับต้องกังวลถึงการสูญเสียความได้เปรียบในตลาดโฆษณาไป โดย Jerry Dischler รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์โฆษณาของ Google กล่าวในระหว่างการพิจารณาคดีต่อต้านการผูกขาดว่า Google กำลังสูญเสียส่วนแบ่งให้กับผู้เล่นรายใหม่ที่เข้ามาอย่าง TikTok และ Amazon.com Inc.
รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงในนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Apple ได้กระทบกับการโฆษณาของ Google บนไอโฟน และเป็นการเปิดทางให้คู่แข่งอย่าง Amazon เข้ามาช่วงชิงในตลาดโฆษณาดิจิทัล
นอกจากนี้ Dischler ยังกล่าวอีกว่ามีผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคบางเจ้าขู่ว่าจะถอนการใช้จ่ายเกี่ยวกับการโฆษณาทั้งหมดออกจาก Google และเปลี่ยนไปโฆษณาบน Amazon แทน พร้อมเสริมว่าการโฆษณาค้าปลีกของ Amazon มีขนาดใหญ่กว่า Google และกำลังเติบโตเป็นสองเท่า
ขณะเดียวกัน เขาก็เชื่อว่าหาก Google ปรับราคาโฆษณาเพิ่มขึ้น ผู้ลงโฆษณาส่วนใหญ่จะย้ายไปหาคู่แข่งอย่าง Meta และ TikTok และมันจะเป็นสิ่งที่อันตรายหากจะทำเช่นนั้น
ทั้งนี้ Google เองต้องเผชิญกับการถูกสอบสวนอย่างหนักจากกรณีคดีต่อต้านการผูกขาด ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามแสดงให้เห็นว่าบริษัทได้ฝ่าฝืนกฎหมายต่อต้านการผูกขาด เพื่อรักษาอิทธิพลในการค้นหาออนไลน์ นำไปสู่การเติบโตของรายได้จากการโฆษณาอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ Google กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 36 ล้านล้านบาท)
เช่นเดียวกับการฟ้องร้องจาก EU ที่ระบุว่า Google ละเมิดกฎการป้องกันการผูกขาดในเทคโนโลยีการโฆษณา (AdTech) โดยเป็นทั้งตัวกลางการโฆษณาบนโลกออนไลน์พร้อมขายพื้นที่โฆษณา ทั้งยังเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ใช้ ทำให้มีบทบาทในทุกระดับในซัพพลายเชนของ Adtech
อ้างอิง